ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศดีอย่างไร?

นักเรียน แลกเปลี่ยน

เชื่อว่าน้อง ๆ หลายคนคงมีข้อสงสัยว่า การไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศดีอย่างไร? คุ้มไหม? กับเวลา 10 เดือนที่ต้องไปเป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน พี่โทนี่ขอบอกเลยว่าได้ประโยชน์และคุ้มมากกับเวลา 10 เดือนที่น้องไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่ต่างประเทศ

ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศดีอย่างไร

  • อย่างแรกที่จะได้คือ ประสบการณ์ใหม่นอกห้องเรียนที่ต่างจากที่ประเทศไทย การไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ไม่เพียงแต่จะเป็นการพัฒนาทักษะด้านภาษา แต่ยังสามารถพัฒนาทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่มาจากวัฒนธรรมที่แตกต่าง ประเทศที่แตกต่างและปรับตัวให้สามารถอยู่ได้กับสังคมนั้น
  • ได้เรียนรู้การบริหารเวลาของตนเอง การเรียงลำดับและการจัดการว่าสิ่งใดสำคัญ สิ่งใดไม่สำคัญ เพราะเวลาที่เราไปอยู่ต่างประเทศ ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เราจะต้องทำอะไรหลายๆอย่างด้วยตัวของเราเอง เพราะฉะนั้นเรามีโอกาสที่จะเรียนรู้ มีโอกาสที่จะคิดและลงมือทำ

เด็กแลกเปลี่ยน

  • ได้เรียนรู้ประสบการณ์การเอาตัวรอด การแก้ไขปัญหา การโต้ตอบ และการดำรงชีวิตในต่างแดน ซึ่งจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และมีวินัยเพิ่มมากขึ้น
  • น้อง ๆ หลายคนเวลาไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ก็มีโอกาสที่จะได้เดินทางสำรวจพื้นที่ ได้ทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น แคมป์ปิ้ง, เดินป่า หรือเล่นสกี ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เราไม่ค่อยได้ทำที่ประเทศไทย แต่เรามีโอกาสที่จะได้ไปทำกิจกรรมเหล่านี้ในระหว่างที่เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่ต่างประเทศ
  • ได้ไปอยู่ในที่ใหม่ๆ พบเจอคนใหม่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งดีสำหรับเรา เพราะการที่เราไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เราจะได้เจอผู้คนใหม่ๆ ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่มีผลกระทบเชิงบวกกับสภาพจิตใจ และความเป็นอยู่ของเรา

เด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน

ประสบการณ์จากการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ 10 เดือน จะทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รู้จักบริหารเวลาและวางแผนการดำเนินชีวิต ทำให้เรามีวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ สามารถจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง มีการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น มีคอนเนคชั่นและเพื่อนใหม่ๆ ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่มาจากคนละวัฒนธรรม คนละประเทศกับเรา ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่จะได้จากการที่ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน 10 เดือน ที่ต่างประเทศ เท่านั้น ถือว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ

ที่โทนี่เอ็ดดูเคชั่นมีหลายประเทศให้น้อง ๆ ได้เลือกไปเป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศอเมริกา, แคนาดา, ฝรั่งเศส, จีน ถ้าน้องคนไหนสนใจก็ทักพี่โทนี่มาได้เลยทั้งทาง Facebook, Line หรือฟอร์มติดต่อเราที่หน้าเว็บไซต์

ตามหา ” Martin Luptak ” เพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนแรกที่อเมริกาที่หายไป 20 กว่าปี

นักเรียนแลกเปลี่ยน อมเริกา

ชีวิตทุกคนจะมีจุดเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง แล้วจุดเปลี่ยนแต่ละครั้งก็จะกลายเป็นเรื่องราวของคนๆนั้นที่สามารถนำมาเล่าหรือเรียกว่าโม้ได้ทั้งชีวิต จะผ่านไปกี่ปีก็ไม่เคยลืม หนึ่งในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตพี่ก็คือ การได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกามาเมื่อไม่นานมานี้ แค่ 20 กว่าปีที่แล้วเอง ไปครั้งเดียวมีจุดเปลี่ยนมากมาย ซึ่งหลายอย่างเรายังไม่รู้ตัวเองเลย และการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนครั้งนั้นก็เปลี่ยนชีวิตพี่มาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งอุปนิสัย แนวคิดหลายๆอย่าง ความเข้าใจโลกที่มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดสุดคือน้ำหนักตัวที่เพิ่มมาเกือบสิบกิโล เรื่องความเปลี่ยนแปลงจากปีแลกเปลี่ยนนี้ พ่อแม่เพื่อนคอนเฟิร์มโดยที่พี่แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงนี้กับตัวเอง

วันนี้พี่เลยมาแชร์เรื่องราวจุดเปลี่ยนแรกของการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของพี่ ซึ่งคือการมีเพื่อนร่วมห้อง มันเริ่มมาจากบทสนทนาในครอบครัวเมื่อรู้ว่าต้องแชร์ห้องกับเด็กแลกเปลี่ยนอีกคน

แม่ : “ทางโครงการฯ บอกจะมีรูมเมทคนนึงนะชื่อ มาร์ติน ลุปถัก เป็นคนมาจากประเทศสโลวาเกีย ระวังตัวด้วยนะ ไปอยู่ ไปแชร์ห้องกับใครก็ไม่รู้ ข้าวของ ทรัพย์สินและ…..โน่นนี่นั่น”
พี่ต้น : “รู้แล้วม๊า พอแล้วๆ เดี๋ยวไปเจอก็รู้เอง”
พ่อ : “ระวังตัวด้วยนะ ต้องหัดฉลาด รู้ทันคน อย่าไปโดนเค้าหลอก ของอะไรก็เก็บให้มันดีๆ …..อย่างนั้นอย่างนี้”
พี่ต้น : “คับ คับ คับ ไปแล้วนะ เจอกันอีก 10 เดือน ถ้าอยู่ได้และไม่โดนส่งกลับก่อนนะ”

นักเรียนแลกเปลี่ยน อมเริกา

นั่นเลยเป็นที่มาของตอนนี้ที่พี่ขอตั้งชื่อว่า ‘Finding Martin Luptak’ คนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทอยู่ 10 เดือน แล้วตอนนี้คือขาดการติดต่อกันไปแล้วกว่า 20 ปี (สมัยนั้นsocialมันยังไม่ทั่วถึงอ่ะเนอะ) อยากลองใช้พลังSocialตามหาดูครับเผื่อจะได้เปลี่ยนมันกลับมาเป็นเพื่อนสนิทอีกครั้ง อยากจะอัพเดทชีวิตกันและถ้าเป็นไปได้ต้องหาโอกาสเจอกันให้ได้สักครั้ง เรื่องราวการแชร์บ้านกับเพื่อนคนนี้เท่าที่พี่จำได้ก็ประมาณนี้ครับ

1. กิจกรรมหลักแต่ละวัน :

เมื่อประมาณวันที่ 5 กันยายน ปี 2000 พี่ไปถึงอเมริกาก่อนเจ้า Martin 1 วัน เช้าวันนั้นโฮสต์มัมก็เลยชวนไปรับ Martin ที่สนามบินเล็กๆในเมืองโมเดสโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ภาพจำของมันครั้งแรกคือเก็กมาเลย ตอนเช็คแฮนด์กันมันก็ขำใส่ ไม่รู้เมาไรมาป่าว พูดไม่หยุด พูดไปเรื่อย ถามทุกอย่างตลอดทางกลับบ้าน พอถึงบ้านสิ่งแรกที่มันทำคือนอนบนโซฟาแล้วก็นอนดูทีวี ขอบอกว่าเพื่อนพี่เป็นคนค่อนไปทางขี้เกียจ นอนก่อนแล้วค่อยทำสิ่งที่ต้องทำ พี่ก็ทำอะไรของพี่ไป พอมันกดวนช่องทีวีจนไม่มีอะไรดูแล้ว มันก็ถามพี่ว่าพี่เล่นกีฬาอะไรบ้าง พี่ก็บอกพี่ชอบเล่นบาส มันก็ดีใจเพราะมันก็ชอบเหมือนกัน เลยตกลงเย็นวันนั้นไปซื้อลูกบาสกัน ไปเล่นแถวบ้าน เล่นกันทุกวัน พวกพี่ต้องนั่งรถโรงเรียนกลับบ้าน ซึ่งมันมีตารางเวลาเป๊ะๆอยู่ ถ้ากลับไม่ทันรถต้องกวนโฮสต์มารับที่โรงเรียน พวกเราก็เกรงใจ กลับตามเวลาละกัน กลับมาถึงบ้านส่วนใหญ่ก็จะประมาณ 4 โมงเย็น เสาร์-อาทิตย์ไม่มีอะไรทำ ก็ต้องเล่นกันสองคนเพราะไม่มีใครแถวนั้นที่จะมาเล่นด้วย ซึ่งส่วนใหญ่มันก็จะแพ้พี่แล้วก็บ่นทุกวันว่าพี่โกง Sorry man!

2. อาหารหลัก :

ใครที่เคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจะพอรู้กันเรี่องอาหารการกินที่บ้านโฮสต์ ไม่ใช่ว่ากินไม่ได้นะ มันเป็นการกินเพื่ออยู่ครับ มันขาดอรรถรส คิดถึงกับข้าวที่บ้านมากตอนนั้น ผมกับมันก็เลยต้องออกไปหาอะไรกินเพิ่มนอกบ้านแทบทุกวัน เดินไป-กลับก็หลายกิโล ใช้วิธีกินที่บ้านก่อนพอเป็นพิธี กลัวโฮสต์ด่าแล้วดึกๆก็ค่อยออกมาหาอะไรกิน บอกโฮสต์ว่าไปเดินเล่น ไอ้เพื่อนคนนี้นี่มันชอบพิซซ่ามาก พวกเรามีร้านประจำเป็นร้านเล็กๆที่คนในพื้นที่เค้ากินกัน พวกเราก็กินกันแทบทุกวัน กินคนละชิ้น พิซซ่าอเมริกานี่มันก็ชิ้นใหญ่มาก ก็เลยนั่งแทะนั่งเมาท์เรื่อยเปื่อยกันไปด้วย เรียกได้ว่าภาษาอังกฤษดีขึ้นก็ตอนนี้แหละ ต่างคนต่างพูดไม่เป็นประโยคแต่ยังไงไม่รู้คุยกันรู้เรื่องซะงั้น ไปสุดขนาดเถียงกันเป็นภาษาอังกฤษได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งเถียงกันเรื่องอ่านออกเสียง ‘Yatch’ เราก็ยอชต์ มันก็ย้าท เถียงไปด่ากันไปแบบขำๆกันนะ ประมาณว่าใครโง่ภาษาอังกฤษกว่า (…สรุปว่าเรา) บางครั้งเถียงกันเรื่องไรไม่รู้ พี่โมโหด่ามันเป็นภาษาไทย มันก็ด่าเราเป็นภาษาสโลวัก ตลอด 6 – 7 เดือนที่อยู่ด้วยกัน พี่ได้เรียนภาษาสโลวัก มันก็ได้ภาษาไทยด้วย (ส่วนใหญ่ก็เป็นคำสบถแหละตามประสาวัยรุ่น) บางอารมณ์อยากสบถขึ้นมาก็ใช้โค้ดลับเป็นภาษาพวกเรานี่แหละ

3. งานบ้าน :

นักเรียนแลกเปลี่ยนควรต้องช่วยทำงานบ้านด้วย โดยส่วนใหญ่จะแบ่งเวรแบ่งหน้าที่กันทำกับคนทั้งบ้าน บางอาทิตย์เราเป็นคนล้างจาน บางอาทิตย์ทำห้องน้ำ บางอาทิตย์กวาดเก็บใบไม้หน้าบ้านหลังบ้าน ห้องนอนที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวสำคัญมากคือทุกคนต้องเก็บห้องของตัวเอง เราเผอิญโชคดีได้โฮสต์ดีที่ขี้บ่นมาก บ่นประจำเรื่องห้องนอนกับตื่นสายวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันทำความสะอาดบ้าน ตลอด 16 ปีที่เกิดมา พี่ก็ไม่เคยทำงานบ้าน มันบอกมันก็ไม่เคยทำ ประเสริฐกันทั้งคู่ 555 เลยทำให้เราได้เรียนรู้ตรงนี้ และเอาจริงๆมันก็ติดมาเป็นนิสัยเล็กๆจนทุกวันนี้นะ มีความเป็นระเบียบขึ้นนิดนึง มาครบทั้งงานหมก งานแอบ งานลวก อีกบทเรียนที่ได้คือเราเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือกันยามคับขัน เราเลยทำข้อตกลงว่าจะผลัดกันทำงานบ้านคนละอาทิตย์ เพื่อที่คนนึงจะได้นอนดูทีวีได้ตลอดทั้งอาทิตย์ เรียกว่าฝึกทักษะการเจรจาต่อรองกันจากประสบการณ์นี้

4. เรื่องไม่เป็นเรื่อง :

‘อือ อิ๊ด อือ แอดดดด…’ รุ่นนี้คงไม่ทัน นี่คือเสียงต่อเน็ตที่ดังทั้งบ้านเวลาใช้งานแต่ละครั้ง สมัยนั้นจะใช้เน็ตครั้งนึงต้องสลับสายโทรศัพท์บ้านมาเสียบโมเด็ม…. อ่ะ งง รุ่นนี้งง มันคือสิ่งมหัศจรรย์ของเด็กยุค 90s อย่างพวกพี่เลยนะ ฮ่าๆ แล้วที่บ้านโฮสต์ก็ดันมีสายโทรศัพท์อยู่สายเดียว ถ้าต่อเน็ตโทรศัพท์ก็จะใช้ไม่ได้ เรา (หมายถึงพี่กับMartin) ก็เลยตกลงกันว่าจะใช้เน็ตตอนดึกเพราะเราคิดว่าทุกคนเข้านอนกันแล้ว หลังจากเขียนจดหมายโต้ตอบกับที่บ้านมาได้ 2-3 เดือน พี่ก็แนะนำมันให้รู้จักกับอีเมล์ Martinตื่นเต้นมากกกก ถึงขนาดต้องโทรไปหาพี่สาวที่บ้านเรื่องจะไม่ส่งจดหมายแล้ว ดูวุ่นวายกันใหญ่เลย สรุปคืนนั้นมันได้เริ่มเขียนอีเมล์ฉบับแรกในชีวิต นั่งจิ้มคีย์บอร์ดอยู่ทั้งคืน รวมๆน่าจะเกือบสองชั่วโมงได้กว่าจะเขียนอีเมล์ฉบับนึงเสร็จ แล้วมันก็นั่งชื่นชมอยู่แป๊ปนึง มันคงกะว่าเดี๋ยวค่อยกดส่ง พอได้ฤกษ์กดส่ง มันก็นั่งรอดูผลงาน ทันใดนั้น เราก็ได้ยินโฮสต์มัมคุยโทรศัพท์อยู่นอกห้อง คงสำคัญมากมั้งคุยตอนเกือบตี 2 โฮสต์มัมคงเห็นไฟห้องเปิดอยู่ ก็เลยเปิดเข้ามาดูว่าทำไรกัน เราก็นั่งอึ้งกันอยู่ เพราะความพยายามกว่าสองชั่วโมงของMartinหายวับไปกับสายโทรศัพท์ที่่ถูกดึงออก โฮสต์แกก็บ่นพวกเราว่าไม่หลับไม่นอนแล้วก็ให้พวกเราปิดคอมด้วย วินาทีนั้น พี่Martinก็ของขึ้นเลยครับ ทะเลาะกันเลย ด่าภาษาอังกฤษสลับสโลวัก สงครามนี้ดูไม่รู้จะจบกันยังไง โฮสต์มัมไม่รู้ตัวว่าได้ทำร้ายเด็กหนุ่มคนนี้แบบไม่ได้ตั้งใจ โฮสต์มัมเองก็โมโห สุดท้ายเลยไม่ให้พวกเราใช้เน็ตอีก หนักเลยงานนี้ นอนบ่นเป็นภาษาสโลวักทั้งคืน หลังเลิกเรียนวันต่อมา ก็เลยต้องอยู่ใช้คอมที่โรงเรียนแล้วยอมตกรถโรงเรียน แถมไม่ทันรถเมล์รอบสุดท้ายเพราะต้องรอมันเขียนอีเมลล์คราวนี้อีกเกือบ 3 ชั่วโมง มันคงเอาเรื่องเมื่อคืนใส่ไปด้วยแน่ๆ จบด้วยการเรียกแท็กซี่กลับบ้านหลังส่งอีเมล์เสร็จ เรียกว่าเป็นความยากลำบากที่คนยุค 5G อาจจะนึกไม่ถึงจริงๆ

5. วันสุดท้าย :

วันที่พี่จะต้องกลับประเทศไทย ไฟลท์พี่ออกตั้งแต่เช้า ในเมืองของพี่เนี่ยไฟลท์บินแต่ละวันคือน้อยมากเพราะไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ วันนั้นโฮสต์มัมดันตื่นสาย ไอ้เราก็นั่งรอ เกรงใจไม่กล้าไปปลุก รอจนลืม รู้สึกตัวอีกทีคือสายแล้วก็เลยจำเป็นไปปลุกโฮสต์มัม เจ๊แกก็เข้าห้องน้ำ ทำโน่นนี่นั่น กว่าจะได้ออกจากบ้านสุดท้าย…ตกเครื่อง วุ่นวายเลยทีนี้เพราะต้องไปต่อเครื่องที่แอลเอ ไฟลท์ที่มีจากเมืองนี้ก็ไม่ทันต่อเครื่อง โฮสต์มัมก็ติดงานด่วนเช้านั้น แกเลยเอาเราไปดร็อปไว้บ้านใหม่มาร์ติน(พี่เค้าโดนย้ายแต่ยังอยู่เมืองและโรงเรียนเดียวกัน ไว้หาโอกาสมาเล่ารอบหน้าเพราะนี่คือจุดเปลี่ยนอีกครั้ง)แล้ววานให้โฮสต์บ้านนั้นไปส่งเราอีกเมืองนึง เพื่อไปขึ้นเครื่องที่นั่นไปแอลเอ ไอ้มาร์ตินก็เลยไปส่งเราด้วย นั่งกันไปเกือบสองชั่วโมง สนุกมาก นั่งบ่นกันทั้งรถตลอดทาง ถึงสนามบินก็ไม่มีเวลาพิรี้พิไร จอดดร็อปหน้าประตูเพราะจะไม่ทันแล้ว และนั่นคือวันสุดท้ายที่ได้เจอมันในคราบชุดนอน หัวฟู ฟันไม่แปรง

6. มิตรภาพ :

มาร์ตินเป็นเพื่อนที่เรียกได้ว่าสนิทมากๆในช่วงที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน สนิทกันแบบไม่ต้องใช้เวลา สนิทกันแบบอัตโนมัติตั้งแต่วันแรก (เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องอยู่ร่วมบ้านกัน จะเขม่นกันตั้งแต่แรกก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง) หลังจากแยกย้าย พี่พยายามตามหามันเท่าที่ทำได้แล้ว แต่สมัยก่อนมือถือไม่มี ช่องทางโซเชียลต่างๆก็ไม่มี อีเมลล์ที่เคยใช้ก็น่าจะเลิกใช้กันไปแล้ว การติดต่อทุกอย่างใช้การจดลงสมุด ซึ่งก็หายสาบสูญไปแล้ว พี่ลองติดต่อใช้วิธีไปทางบ้านโฮสต์ที่เคยอยู่ด้วยกันก็ดูเหมือนจะย้ายบ้านไปไหนแล้วไม่รู้ ลองหาในโลกโซเชียลก็ยังไม่เจอ พอโดนทีมงานบังคับเขียนเล่าเรื่องราวปีแลกเปลี่ยนอาทิตย์นี้เลยขอลองวิธีนี้แล้วกัน เผื่อโชคดีหาเพื่อนคนนี้เจออีกครั้ง

มาครับ ลูกหลานใครอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ ยินดีให้คำแนะนำครับ

นักเรียนแลกเปลี่ยน อมเริกา

Please help me with ‘Finding Martin Luptak’ from Slovakia. In 2000, he was an exchange student in Modesto, California, USA and he should be about 40 years old now. As far as I know, he really loves his older sister. I think her name is Maria and they are not originally from Bratislava. He likes to play basketball and he loves beer very much. I wish I could catch up with him once again soon….

อยากไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา >> คลิก<<