TOEFL iBT กับ IELTS Academic ต่างกันอย่างไร? เลือกสอบตัวไหนดี?

สอบ TOEFL IELTS

คะแนนสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษ ทั้ง TOEFL และ IELTS ล้วนเป็น requirement ที่ขาดไม่ได้สำหรับใครที่กำลังเตรียมตัวศึกษาต่อในต่างประเทศ ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ รวมถึงมหาวิทยาลัยอื่นๆกว่า 10,000 แห่งทั่วโลก ในขณะที่บรรดามหาวิทยาลัยชั้นนำต่างก็ร่วมใจกันรักษาเกณฑ์นี้ให้สูงไว้ มหาวิทยาลัยระดับกลางหลายๆแห่งก็เริ่มลดเกณฑ์คะแนนดังกล่าวลง บางที่ก็ตั้งเกณฑ์ไว้ค่อนข้างต่ำ โดยหวังว่าจะช่วยเพิ่มจำนวน admission ของนักศึกษาชาวต่างชาติในแต่ละปีได้

TOEFL iBT กับ IELTS Academic ต่างกันอย่างไร?

ในปัจจุบัน ข้อสอบทั้ง 2 ตัวได้มีการปรับปรุงให้ดึงดูดผู้สอบมากยิ่งขึ้น เช่น ข้อสอบ IELTS Academic ให้ความสะดวกแก่ผู้สอบด้วยข้อสอบรูปแบบ computer-delivered ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้จัดสอบได้บ่อยมากขึ้น แต่ยังลดเวลาการตรวจข้อสอบและรายงานผลสอบได้เร็วขึ้นอีกด้วย ทางด้าน ETS เองก็ได้ปรับปรุงข้อสอบ TOEFL iBT ให้กระชับขึ้นและเลือกรายงานเฉพาะคะแนนที่ดีที่สุดในแต่ละ Section ที่ผู้สอบทำได้ในรอบ 2 ปี ด้วยระบบ MyBest Scores

ด้วยตัวเลือกที่มีมากขึ้น ผู้สอบหลายๆ คนอาจเกิดคำถามว่า ‘ระหว่าง TOEFL กับ IELTS เราควรสอบตัวไหนดี?’ ไม่ว่าเราจะเล็งคะแนนตัวไหนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในดวงใจ อย่าเพิ่งสอบ! จนกว่าจะเข้าใจว่า TOEFL กับ IELTS มีดีต่างกันอย่างไร และตัวไหนเหมาะกับเรามากกว่ากัน

TOEFL iBT กับ IELTS Academic ต่างกันอย่างไร? เลือกสอบตัวไหนดี?

1. TOEFL กับ IELTS ต่างกันอย่างไร?

ค่ายยักษ์ใหญ่ อย่าง ETS และ British Council ได้พัฒนาข้อสอบ TOEFL และ IELTS อย่างต่อเนื่องกว่าหลายทศวรรษ จนทั้งคู่ต่างเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางโดยมหาวิทยาลัยทั่วโลก ข้อสอบทั้งสองตัวต่างก็มีชื่อเสียงและเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว จึงเปรียบเทียบกันตรงๆ ได้ยาก ดังนั้นผู้เลือกสอบต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น จุดหมายปลายทางที่จะศึกษาต่อ คะแนนที่มหาวิทยาลัยต้องการ และ ทักษะที่ตนเองถนัด เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่เราทำได้คือ เปรียบเทียบคุณลักษณะเด่นของทั้ง TOEFL และ IELTS เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกทำข้อสอบที่เหมาะกับตัวเราและตรงกับเป้าหมายของเรามากที่สุด

เรามาดูความแตกต่างโดยรวมของ TOEFL กับ IELTS กันก่อน

เปรียบเทียบภาพรวมข้อสอบ TOEFL และ IELTS

TOEFL

TOEFL หรือ Test of English as a Foreign Language ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในข้อสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษระดับต้นๆ ของโลก ซึ่งข้อสอบนั้นออกโดย Educational Testing Service (ETS) และเป็นที่ยอมรับโดยมหาวิทยาลัยกว่า 10,000 แห่งใน 150 ประเทศทั่วโลก ข้อสอบ TOEFL มี 2 รูปแบบ คือ Internet-Based Test (iBT) ซึ่งสอบผ่านคอมพิวเตอร์ทั้งหมด และ Institutional Testing Program (ITP) เป็นข้อสอบทำในกระดาษ TOEFL ทั้งสองรูปแบบมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน โดย iBT มุ่งเน้นการศึกษาต่อในต่างประเทศ ในขณะที่ ITP ใช้ยื่นสมัครเข้าหลักสูตรนานาชาติในประเทศเป็นหลัก

ในปี 2019 ETS ได้ปรับลดเนื้อหา ข้อสอบ TOEFL iBT ฉบับใหม่ 2019 ให้สั้นลงจากเดิม ผู้สอบสามารถทำข้อสอบทั้ง 4 Section ได้ภายใน 3 ชม 30 นาทีเท่านั้น และยังสามารถเก็บคะแนนสอบได้เป็นเวลา 2 ปี โดย ระบบ MyBest Scores จะเลือกรายงานเฉพาะคะแนนที่ดีที่สุดในแต่ละ Section

IELTS

IELTS หรือ International English Language Testing System ถือว่าเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมอันดับต้นๆ เช่นกันกับ TOEFL โดยเป็นที่ยอมรับในมหาวิทยาลัยกว่า 10,000 แห่งใน 140 ประเทศทั่วโลก ข้อสอบ IELTS เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Cambridge English Language Assessment, British Council (BC) และ International Development Program of Australian Universities and Colleges (IDP)

ข้อสอบ IELTS เดิมทีเป็นข้อสอบรูปแบบ paper และในปัจจุบันมีรูปแบบ computer-delivered ให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ Speaking section ยังคงรูปแบบเดิมคือ เป็นการสอบกับ examiner โดยข้อสอบ IELTS จะใช้เวลาสอบประมาณ 2 ชม 45 นาที

เมื่อเห็นภาพรวมของข้อสอบแล้ว เรามาดูกันว่าแต่ละตัวทดสอบอะไรเราบ้าง

TOEFL iBT กับ IELTS Academic ต่างกันอย่างไร? เลือกสอบตัวไหนดี?

 

เปรียบเทียบ Sections ต่าง ๆ ในข้อสอบ TOEFL และ IELTS

ขึ้นชื่อว่าเป็นข้อสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษ ทั้ง TOEFL และ IELTS ต่างก็ถูกออกแบบมา เพื่อประเมินความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้สอบทั้ง 4 ด้าน คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ความแตกต่างหลักๆ จะอยู่ที่ประเภทและความเข้มข้นของเนื้อหาในข้อสอบ และ ที่สำคัญคือรูปแบบการสอบ Speaking

Reading Section

ข้อสอบ IELTS Reading มี 3 บทความ ใช้เวลาสอบ 60 นาที ในขณะที่ TOEFL Reading มี 3-4 บทความ ใช้เวลา 54-72 นาที ซึ่งทั้งคู่เป็นข้อสอบแบบ multiple choice มี 4 ตัวเลือก และเป็นเนื้อหาเชิงวิชาการ

Listening Section

ข้อสอบ IELTS Listening มีจำนวน 40 ข้อ แต่จะใช้เวลาน้อยกว่า เพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น ในขณะที่ TOEFL Listening มีจำนวน 28-39 ข้อ และ ใช้เวลา 41-57 นาที ผู้สอบ TOEFL ควร take notes ระหว่างที่ฟังเพื่อใช้ตอบคำถามที่จะตามมาหลังจากที่ได้ฟังไฟล์เสียงซึ่งมีทั้งบทสนทนาและบทบรรยายเชิงวิชาการ

Speaking Section

ข้อสอบ IELTS Speaking เป็นส่วนที่ต้องแยกสอบต่างหาก เป็นการสอบแบบ face-to-face กับ examiner ใช้เวลาเพียง 11-14 นาทีเท่านั้น โดยผู้สอบต้องตอบคำถาม 3 tasks ขึ้นอยู่กับ examiner ในขณะที่ TOEFL Speaking นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการสอบ TOEFL iBT ซึ่งจะสอบต่อเนื่องจาก Listening Section ทันที และ ข้อสอบในส่วนนี้มี 4 tasks และ ผู้สอบจะทำการบันทึกเสียงในคอมพิวเตอร์ผ่านทาง microphone โดยตรงได้เลย

Writing Section

ข้อสอบ IELTS Writing ขึ้นชื่อว่ายากกว่าข้อสอบอื่นๆ ที่คล้ายกัน IELTS Writing มี 2 tasks และเป็นข้อสอบที่วัดทักษะการเขียนของผู้สอบโดยแท้จริง โดยใน task แรก ผู้สอบจะต้องอธิบายหรือสรุปข้อมูลที่ได้รับมา ไม่ว่าจะเป็น กราฟ หรือ แผนภูมิต่างๆ และในอีก task ผู้สอบจะต้องแสดงความคิดเห็นในรูปแบบเรียงความเกี่ยวกับหัวข้อที่ได้รับมา

ข้อสอบ TOEFL Writing มี 2 tasks เช่นเดียวกัน แต่ใน task แรก ซึ่งเป็นการเขียนเชิงบูรณาการ ผู้สอบต้องทำการสรุปและรายงานข้อมูลทั้งจากบทความที่อ่านและที่ได้ฟังมา ส่วน task ที่สองจะคล้ายกันกับของ IELTS Writing

TOEFL iBT กับ IELTS Academic ต่างกันอย่างไร? เลือกสอบตัวไหนดี?

2. เราควรสอบตัวไหนดี?

เมื่อได้เห็นความคล้ายและความแตกต่างของ TOEFL กับ IELTS แล้ว เราต้องเปรียบเทียบข้อดีหรือจุดเด่นของข้อสอบทั้งสองตัวด้วย เพื่อช่วยให้เราตัดสินใจเลือกทำข้อสอบที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด

ข้อได้เปรียบของข้อสอบ TOEFL

  • คำถามในข้อสอบ TOEFL ค่อนข้างตรงไปตรงมา ซึ่งผู้สอบสามารถทำคะแนนสูงได้
  • ETS กำหนดเกณฑ์การให้คะแนน TOEFL Speaking ไว้อย่างชัดเจนและใช้วิธีเทียบคะแนนจากคนตรวจ (evaluators) หลาย ๆ คน
  • TOEFL เป็นที่ยอมรับมากกว่า IELTS ในสหรับอเมริกาและแคนาดา
  • TOEFL มีศูนย์สอบกว่า 4,500 แห่งทั่วโลก
  • ค่าสอบ TOEFL ถูกกว่า IELTS เล็กน้อย

ข้อเสียเปรียบของข้อสอบ TOEFL

  • TOEFL มีรูปแบบเดียว จึงไม่มีข้อสอบ General สำหรับผู้ที่ไม่ได้ต้องการไปศึกษาต่อต่างประเทศโดยตรง เช่น ผู้ที่ต้องการขอวีซ่าทำงาน
  • ผู้ที่ชำระเงินใกล้วันสอบมากๆ ต้องเสีย late registration fee
  • TOEFL แต่ละ Section ใช้เวลาสอบนานกว่า
  • ข้อสอบ TOEFL ทำในคอมพิวเตอร์ 100% ผู้สอบจำเป็นต้องมีทักษะและความคุ้นเคยกับการทำข้อสอบผ่านคอมพิวเตอร์

ข้อได้เปรียบของข้อสอบ IELTS

  • IELTS เป็นที่ยอมรับโดยกว้างขวางมากกว่าในประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์
  • IELTS มีข้อสอบแบบ General อีกชุด ซึ่งง่ายกว่า Academic จึงเหมาะสำหรับผู้ต้องการขอวีซ่าสำหรับย้ายถิ่นฐานหรือสำหรับทำงาน
  • ผู้สอบหลายๆ คนชอบการสอบ Speaking กับคน (examiner) มากกว่าการอัดเสียงในคอมพิวเตอร์
  • ข้อสอบ IELTS computer-delivered จัดสอบได้บ่อยขึ้นและรายงานผลได้เร็วขึ้น

ข้อเสียเปรียบของข้อสอบ IELTS

  • ผู้สอบบางคนรู้สึกประหม่าเวลาต้องคุยกับชาวต่างชาติ ทำให้การสอบ Speaking กับ examiner เป็นปัญหา
  • เนื่องจาก IELTS Speaking ต้องสอบแยกจากการสอบหลัก ผู้สอบต้องจัดสรรเวลาสอบเพิ่มเติม
  • ข้อสอบ IELTS Writing ถือว่ามีความยากกว่าข้อสอบอื่น ผู้สอบต้องมีทักษะในการเขียนด้วยรูปแบบเรียงความที่มีโครงสร้างชัดเจน

TOEFL iBT กับ IELTS Academic ต่างกันอย่างไร? เลือกสอบตัวไหนดี?

สรุปสุดท้าย

ข้อสอบ TOEFL และ IELTS นับว่าเป็นข้อสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษเชิงวิชาการที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก ข้อสอบทั้ง 2 ตัวนี้มีความคลายคลึงกันในแง่ของทักษะที่ใช้สอบ คือ ฟัง พูด อ่าน และ เขียน นอกเหนือจากนี้เนื้อหา TOEFL iBT และ IELTS Academic ยังเน้นทางด้านวิชาการเป็นหลัก เพื่อใช้วัดความสามารถของผู้สอบที่ต้องการไปศึกษาต่อในต่างประเทศอย่างแท้จริง เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้สอบเข้าใกล้เป้าหมายของตนเองมากยิ่งขึ้น

ข้อสอบ TOEFL และ IELTS ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบอย่างมีนัยสำคัญในปี 2019 โดยที่ข้อสอบ TOEFL iBT ถูกปรับให้สั้นลงและใช้ระบบ MyBest Scores ในการรายผล ซึ่งส่งผลดีต่อประสบการณ์สอบของผู้สอบที่ใช้เวลาน้อยลง และยังสามารถสะสมคะแนนที่ดีที่สุดในแต่ละ Section ไว้ได้ถึง 2 ปี ในขณะที่ข้อสอบ IELTS Academic ได้เพิ่ม platform การสอบรูปแบบใหม่ด้วยข้อสอบ computer-delivered ซึ่งทำให้จัดสอบได้บ่อยขึ้นและรายงานผลสอบได้อย่างรวดเร็ว แต่ IELTS ยังคงรูปแบบของ Speaking Section ที่ต้องสอบกับ examiner ไว้เช่นเดิม

สุดท้าย ‘เราควรสอบตัวไหนดี?’ ขึ้นอยู่กับตัวเองเราเองและอีกหลายๆ ปัจจัย ซึ่งรวมไปถึงประเทศและมหาวิทยาลัยที่ผู้สอบต้องการไปศึกษาต่อ เกณฑ์คะแนนที่ใช้ และ ความถนัดของผู้สอบ ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งในสหรัฐอเมริกาเองก็ลดเกณฑ์คะแนนสอบ TOEFL ลง และในขณะเดียวกันก็ยอมรับคะแนน IELTS มากยิ่งขึ้น ในขณะที่มหาวิทยาลัยในอังกฤษก็ยินดีรับคะแนน TOEFL มากขึ้นเช่นเดียวกัน

ดังนั้นในฐานะของผู้สอบ เรากลับกลายเป็นคนที่มีทางเลือกมากที่สุด เพียงแค่เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนก่อนว่าอยากเรียนต่อที่ไหน สาขาวิชาใด หลังจากนั้น requirement ต่างๆ รวมถึงคะแนนสอบภาษาอังกฤษด้วย ก็จะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งบนเส้นทางการศึกษาอันยาวไกลของเราเท่านั้นเอง

ถ้าน้องๆ อยากเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษก่อนสอบ TOEFL หรือ IELTS พี่ Tony มีโปรโมชั่นดีๆ สำหรับคอร์สเตรียมความพร้อมก่อนสอบที่ต่างประเทศ เพียงติดต่อเข้ามาแล้วบอกว่า มาจากลิงค์ข่าวสารนี้

Credit : https://campus.campus-star.com

IELTS มีความสำคัญอย่างไร ในการสมัครเข้าเรียน และสมัครทำงาน – ใครสอบได้บ้าง?

IELTS มีความสำคัญอย่างไร? ในการสมัครเข้าเรียน และสมัครทำงาน

เรียกได้ว่าในปัจจุบันการสอบวัดระดับความสามารถทางด้านภาษานั้นได้มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคะแนนที่ได้ออกมานั้นสามารถนำไปใช้ได้ทั้งสมัครเรียนต่อ สมัครเข้าทำงาน และสอบเพิ่มฐานเงินเดินให้กับตนเอง ฯลฯ

IELTS มีความสำคัญอย่างไร? ในการสมัครเข้าเรียน และสมัครทำงาน

โดยการสอบวัดระดับภาษาก็มีหลากหลายรูปแบบให้เราได้เลือกสอบกัน เช่น TOEIC, TOEFL เป็นต้น และในบทความนี้ พี่ Tony จะมาแนะนำการสอบ IELTS ให้น้อง ๆ ได้รู้จักกัน เนื่องจากมีความสำคัญต่อผู้ที่สนใจอยากเรียนต่อในหลักสูตรนานาชาติหรือเรียนต่อต่างประเทศเป็นอย่างมาก

การสอบ IELTS คืออะไร?

สำหรับการทดสอบ IELTS หรือมีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่า International English Language Testing System เป็นการทดสอบที่เกี่ยวกับความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ เหมาะสำหรับผู้สมัครที่ต้องการนำคะแนนไปใช้ในการเรียนต่อหรือสมัครเข้าทำงาน

ลักษณะของข้อสอบ IELTS

ลักษณะข้อสอบ IELTS แบ่งออกเป็น 4 ทักษะ ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยมีการแยกคะแนนในแต่ละทักษะอย่างชัดเจน โดยในแต่ละทักษะก็จะมีเกณฑ์การการวัดคะแนนแบ่งออกเป็น 9 ระดับ เช่น น้อง ๆ สอบทักษะการฟังได้ระดับที่ 8.00 และสอบทักษะการเขียนได้ 8.5 เป็นต้น

1. การฟัง (Listening)

การทดสอบทักษะการฟัง (Listening) น้อง ๆ จะมีเวลาทำข้อสอบรวม 40 นาที โดยแบ่งออกเป็นฟัง 30 นาที (น้อง ๆ อาจจะเขียนคำตอบในตอนนี้ด้วยก็ได้นะ) ซึ่งเป็นการจาก CD ในรูปแบบของการสนทนา บทพูด และการออกเสียง โดยผู้สอบจะได้ฟังเพียงรอบเดียวเท่านั้น ส่วนอีก 10 นาที ที่เหลือน้อง ๆ สามารถกลับมาทวนคำตอบ หรือเขียนคำตอบลงกระดาษได้ ก่อนที่จะเริ่มสอบในพาร์ทถัดไป

2. การอ่าน (Reading)

การทดสอบทักษะการอ่าน (Reading) มีเวลาในการทำข้อสอบ 60 นาที โดยจะถูกแบ่งออกเป็น 3 บทความ และคำถามอีก 40 ข้อ เนื้อหาที่ออกสอบจะเป็นเรื่องทั่วไป เช่น บทความในนิตยสาร งานวิจัย หนังสือพิมพ์ ข่าวสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นต้น ลักษณะข้อสอบจะเป็นการเติมคำในช่องว่าง, เลือกถูกผิด, multiple choice ฯลฯ

3. การเขียน (Writing)

การทดสอบทักษะการเขียน (Writing) มีเวลาในการทำข้อสอบ 60 นาที โดยแบ่งการเขียนออกเป็น 2 แบบ ได้แก่

  • การเขียนอธิบายข้อมูล อาจจะเป็นกราฟ ตาราง หรือแผนผัง ซึ่งต้องเขียนอย่างน้อย 150 คำ
  • การเขียนเรียงความหรือรายงาน ลักษณะการเขียนจะเป็นการแสดงความคิดเห็น การวิพากษ์วิจารณ์ และการหาทางออก โดยจะต้องเขียนอย่างน้อย 250 คำ

4. การพูด (Speaking)

การทดสอบทักษะการพูด (Speaking) มีเวลาในการทดสอบ 11-15 นาที โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้

  • การพูดคุยเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน (เริ่มต้นจากการแนะนำตัว)
  • กรรมการจะมีบัตรคำถามให้เรา และเรามีเวลาในการเตรียมตัวก่อนพูด 1 นาที โดยเราต้องพูดคนเดียวประมาณ 2-4 นาที
  • การพูดโต้ตอบกันในหัวข้อ (จากในส่วนที่สอง ที่เราได้บัตรคำถามมา)

ทั้งนี้ การสอบได้มีการแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยการสอบทักษะการฟัง การอ่าน และการเขียนจะเป็นการสอบในวันเดียวกัน และไม่มีการหยุดพักระหว่างการสอบ ส่วนการสอบทักษะการพูดเราสามารถเลือกได้ว่าจะสอบในวันเดียวกัน (สอบในวันเดียวกับการสอบการฟัง อ่าน และเขียน) หรือจะเลือกสอบในวันอาทิตย์ หรือวันจันทร์ในสัปดาห์เดียวกันก็ได้

** หมายเหตุ การประกาศผลคะแนนสอบจะนับ 13 วัน (นับตั้งแต่วันที่สอบ หลังเวลา 13.00 น.) และในปัจจุบันเราสามารถสมัครสอบ IELTS ได้กับทาง www.ielts.idp.co.th หรือ www.britishcouncil.or.th ฯลฯ

ประเภทการสอบ IELTS มีดังนี้

  1. IELTS on Computer : 7,500 บาท
  2. IELTS Academic หรือ General Training : 6,900 บาท
  3. IELTS for UKVI : 9,009 บาท
  4. IELTS Life Skills A1 และ B1 : 6,757 บาท

คะแนนสอบ IELTS เอาไปทำอะไรได้บ้าง?

ในปัจจุบันคะแนนสอบ IELTS เป็นที่ยอมรับสำหรับใช้สมัครเข้าทำงานกับบริษัทต่าง ๆ มากกว่า 10,000 แห่งทั่วโลก (โดยจะเน้นไปที่บริษัทข้ามชาติจากฝั่งยุโรป) และนอกจากนี้คะแนนสอบ IELTS ยังมีความสำคัญสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในประเทศแถบยุโรปอีกด้วย เช่น อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

ทั้งนี้เกณฑ์การยื่นคะแนนสอบ IELTS ไม่ได้มีเกณฑ์ที่ตายตัว แต่จะขึ้นอยู่กับการกำหนดสัดส่วนของคะแนนในแต่ละคณะ/สาขาวิชา โดยที่มหาวิทยาลัยจะเป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง (** คะแนนสอบ IELTS ที่ถือว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานก็คือ 5.5 หรือ 6.5 ขึ้นไป แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยและบริษัทด้วย)

สำหรับ มหาวิทยาลัยไทยที่เปิดสอนในหลักสูตรนานาชาติ หรือเปิดสอนภาคอินเตอร์ มีหลายแห่งด้วยกันที่ใช้คะแนนสอบ IELTS เป็นมาตรฐานในการสมัครเข้าเรียนต่อ ไม่ว่าจะเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดลอินเตอร์ (MUIC),และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น

สำหรับน้องๆ ที่อยากสอบ IELTS แต่ยังไม่พร้อม พี่ Tony มีคอร์สเรียน IELTS ที่ต่างประเทศมาแนะนำ พร้อมโปรชั่นดีๆ มากมาย ใครสนใจติดต่อเข้ามาได้เลยครับ

Credit : https://campus.campus-star.com/