
มาถึง Part สุดท้ายของเรื่องที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศกันแล้วนะครับ สำหรับใครที่เพิ่งมาเปิดอ่าน สามารถคลิกอ่าน Part 1 และ Part 2 กันได้นะครับ
3. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
“ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ” เป็นหนึ่งปัจจัยหลักในเรื่องของค่าใช้จ่ายรวม ยกตัวอย่างไประเทศอังกฤษ ส่วนใหญ่สายการบินที่บินตรงก็เช่น Thai Airways กับ British Airway ราคาก็สามหมื่นต้นๆ ถึงเกือบห้าหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ไปและช่วงที่เราจองตั๋ว ส่วนสายการบินแบบแวะพัก 1 จุด ที่ได้รับความนิยมมากๆ ก็พวกสายการบินกลุ่มประเทศอาหรับ อย่างเช่น Emirates Airline, Qatar Airways หรือ Etihad Airways พวกนี้ดีนะครับ ราคาก็ตั้งแต่ประมาณสองหมื่นปลายๆ ถึงไม่น่าเกินสามหมื่นปลายๆ ครับ แล้วก็จะมีแบบประหยัดจัดเลย อารมณ์บินไปอังกฤษรวมเกือบ 20 ชั่วโมง ในขณะที่ทั่วๆ ไปเค้าบินกันประมาณ 11-12 ชั่วโมง อันนี้ก็ตั้งแต่สองหมื่นต้นๆ ครับ อยู่ที่ใครอึดกว่า แต่ของเราโดยส่วนตัวถ้าบิน 10 ชั่วโมงขึ้นไป ชอบแบบมีแวะยืดเส้นยืดสายครับ แต่แวะจุดเดียวพอแล้ว แวะเต็มที่ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
สรุปเรื่องค่าใช้จ่ายโดยรวม
กรณีไปเรียน 1 เดือน
เรื่องค่าใช้จ่ายโดยรวม เฉพาะในประเทศอย่าง อเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์ หลักสูตรเรียนภาษาต่างประเทศ 1 เดือน รวมเฉพาะสิ่งที่จำเป็นคือ ค่าเรียน, ค่าที่พัก, ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับชั้นประหยัด, ค่าวีซ่า, ค่าประกัน (จำเป็นมากนะครับ), ค่าสมัครทางโรงเรียนบวกบางที่เก็บค่าบริการจัดหาที่พักด้วย เฉลี่ยเป็นเงินบาทมีตั้งแต่หนึ่งแสนถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท เดือนถัดๆ ไปก็จะถูกลงเพราะค่าใช้จ่ายบางอย่าง fix ไปแล้ว
กรณีไปเรียนมากกว่า 2 เดือน
ถ้า 2 เดือนจะประมาณ หนึ่งแสนสามหมื่นบาท ถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท และ 3 เดือนจะประมาณ สองแสนบาทถึงสองแสนห้าหมื่นบาท และถ้ายาวกว่านี้อย่าง 6 เดือนก็จะมีตั้งแต่สี่แสนบาทขึ้นไป อันนี้ไม่นับโรงเรียนที่ไม่ได้มาตรฐานหรือพวกโรงเรียนห้องแถวนะครับ
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
นอกจากค่าใช้จ่ายหลักๆ ที่ว่าไปแล้วก็จะมี ค่าบริการรถรับ-ส่งสนามบิน ที่ทุกโรงเรียนจะมีขายบริการนี้เป็น option เสริมอยู่แล้ว, เรื่องค่าเดินทางภายในประเทศ และค่าอาหารก็ควรเผื่อไว้อาทิตย์ละสามถึงห้าพันบาท ส่วนค่าช็อปปิ้งอันนี้ตัวใครตัวมัน เบ็ดเสร็จแบบสยายๆ นะครับ 1 เดือนรวมทุกอย่างแล้วก็ 130,000 – 150,000 บาท ถ้าสองเดือนก็ 150,000 – 180,000 บาทครับ
4. ทำงานเสริมได้มั้ย?
ถ้าประเทศอเมริกา คุณจะถือวีซ่าประเภท F-1 คือทำงานไม่ได้ ผิดกฎหมายครับ ในส่วนประเภท J-1 ของโครงการ Work&Travel, Work&Study แล้วก็ออแพร์ ไว้จะมาให้ข้อมูลครับ ของอังกฤษจะเป็นวีซ่าประเภทไปเรียนภาษา (เรียกอย่างนี้แล้วกัน) ผิดกฎหมายเหมือนกัน จะได้ก็คือต้องถือเป็นวีซ่านักเรียนเท่านั้นที่จะทำงานได้ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เช่นเดียวกับของแคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
ฝากไว้ให้คิด…
สุดท้ายของบทความนี้ก็ฝากไปคิดกันดูนะครับ การเรียนภาษาที่นั่น ไม่เหมือนเรียนที่โรงเรียนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ที่เค้าไม่ได้แยกระดับชั้น ที่นักเรียนเก่งกับไม่เก่งก็ปนๆ กันไป อาจารย์สอนก็เอาเนื้อหากลางๆ มาสอน ซึ่งอาจจะง่ายไปสำหรับคนเก่ง ยากไปสำหรับคนไม่เก่ง แต่ที่สำหรับสถาบันสอนภาษาที่ได้มาตรฐานนั้นไม่ใช่ครับ เค้าจะแบ่งระดับ เพราะจะได้จัดอาจารย์และเนื้อหาที่เหมาะสมกับนักเรียนทั้งห้อง และการเรียนการสอนก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
อีกหนึ่งอย่างที่สำคัญที่อยากให้น้องทุกคนที่ไปมีก็คือ ความกล้า ที่จะพูดแบบผิดๆ โดยไม่อาย เราคนไทยเติบโตมากับระบบปรนัย มีคำตอบที่ถูกเพียงข้อเดียว ทำให้เรากลัวที่จะพูดเพราะมัวแต่เรียบเรียงอยู่ในหัว ประธาน กริยา กรรม กับเอ๊ะกริยาช่องไหนนะ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ควรเติม – ing มั้ย หรือโน่นเลยโดนเข้าไป past perfect continuous tense เชื่อเรานะครับ เราว่าคุณที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่ว่าจะระบบไทยหรืออินเตอร์ ฟังออกครับ ถ้าฟังออกไม่หมดทุกคำ เราก็เชื่อว่าเราเดาได้ครับ อารมณ์เจอฝรั่งพยายามพูดไทย เราก็พอเดาๆ ได้ครับ ถ้าไม่เชื่อ…
วันไหนเดินเจอฝรั่งนะ ลองพูดดูดิ “He is a girl” หรือ “I am eat lunch” ฝรั่งก็จะงงๆ หน่อยแต่เค้ารู้เรื่องครับ การเรียนภาษาของนักเรียนไทยนะครับอันดับแรก mind-set ว่าต้องกล้าพูดก่อน เมื่อพูดบ่อยๆ เราจะสังเกตตัวเองได้เองว่าเราบกพร่องตรงไหน พูดตรงไหนผิดและจะแก้ไขได้ในคราวต่อๆ ไปได้ครับ ความสนุกของการไปเรียนภาษาในต่างประเทศคือเมื่อคนสองคนสนทนากัน และต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกคนใช้คำผิด, พูดผิดหรือผิด grammar อะไรก็แล้วแต่……. แต่สองคนคุยกันรู้เรื่องครับ