เรียนต่อที่มอนทรีออล

MONTREAL เรียนต่อ มอนทรีออล study abroad
Montréal มอนทรีออล เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศแคนาดา ตั้งอยู่ในรัฐ Quebec เป็นเมืองที่มีกลิ่นอายของความเป็นยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศส ถึงกับได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ฝรั่งเศสแห่งที่ 2” เลยก็ว่าได้ เพราะผู้คนในเมืองนี้ใช้ภาษาราชการเป็นภาษาอังกฤษสลับกับภาษาฝรั่งเศส และยังใช้ทั้งสองภาษาในชีวิตประจำวันด้วย เราจะเห็นได้ตามป้ายร้านอาหาร สถานีรถไฟฟ้า หรือป้ายตามอาคารต่าง ๆ ตัวเมืองสร้างถูกโอบล้อมด้วยภูเขา และมีสวนมากมาย บรรยากาศในเมืองคึกคัก และมีความชิว สบายๆ ในเวลาเดียวกัน มีทั้งกิจกรรมเดินป่า ขึ้นเขา ปั่นจักรยาน ดูสะอาด และสงบ ปลอดภัย
MONTREAL เรียนต่อ มอนทรีออล

บรรยากาศเมืองมอนทรีออล

เมืองมอนทรีออล มีทั้งโซนที่เป็น Downtown ในเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูง มีทั้งออฟฟิศ ห้างสรรพสินค้า และสถานที่ชอปปิ้งมากมาย และโซนนอกเมืองที่เป็นธรรมชาติริมน้ำ มีภูเขา Mont-Royal ที่มีจุดชมวิวให้เห็นบรรยากาศเมืองได้ทุกทิศ ซึ่งเราสามารถหลีกหนีความวุ่นวายของตัวเมือง ออกไปหาธรรมชาติ หรือนั่งรถม้าชมเมืองไปตามถนนหินแบบเก่าได้ หรือถ้าต้องการบรรยากาศของความเป็นเมือง ก็สามารถเดินทางไปถึงแหล่งช้อปปิ้ง และ ไชน่าทาวน์ ได้เพียงไม่กี่นาที เพราะระบบการขนส่งในมอนทรีออลถือว่าสะดวกมากไม่แพ้เมืองใหญ่ที่อื่นเลย
MONTREAL เรียนต่อ มอนทรีออล

การเดินทาง

ระบบการเดินทางในมอนทรีออลมีความสะดวกสบาย การจราจรไม่แออัด ด้วยความที่บ้านเมืองมีความสะอาด เรียบร้อย ไม่สกปรก ทำให้หากไม่ใช่การเดินทางไกล ผู้คนที่นี่จะใช้การเดินเท้าเป็นหลัก หรือ ปั่นจักรยาน เพราะในเมืองมีเลนสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ

ส่วนระบบขนส่งสาธารณะในเมืองมีทั้งรถบัส และรถไฟใต้ดิน เราสามารถซื้อตั๋วรายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน และรายเที่ยว โดยที่ชำระผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือเงินสดได้เลย เรียกได้ว่าสะดวกสบายมาก ๆ และค่อนข้างตรงเวลาด้วย

MONTREAL เรียนต่อ มอนทรีออล

จุดเด่นของมอนทรีออล

ด้วยความที่ตัวเมืองมอนทรีออล มีความเป็นแคนาดา และฝรั่งเศสในเมืองเดียวกัน ทำให้เมืองนี้มีกลิ่นอายวัฒนธรรมของทางฝั่งยุโรป ทั้งสถาปัตยกรรม และงานเทศกาลต่าง ๆ ทำให้เมืองนี้เหมาะสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสในเวลาเดียวกัน การเรียนที่ต่างประเทศ เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่มีคุ้มค่า และมีประโยชน์ต่ออนาคต การที่เราได้มีโอกาสเดินทางเพียงซักครั้งในชีวิต เชื่อว่าจะทำให้เราได้เปิดโลกกว้าง ได้รับประสบการณ์ใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ผู้คนและเพื่อนใหม่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชีวิตเราให้มองเห็นโลกในมุมที่เราไม่เคยเจอมาก่อนอย่างแน่นอน

5 คอร์สวิชาชีพยอดนิยม ที่ประเทศออสเตรเลีย

คอร์สวิชาชีพ ออสเตรเลีย

น้องๆ หลายคน มีแพลนที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะที่ประเทศออสเตรเลีย เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประเทศออสเตรเลียมีคอร์สเรียนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ คอร์สเรียนวิชาชีพหรืออนุปริญญา คอร์สเรียนระดับปริญญาตรี โท และเอก ซึ่งน้องๆ หลายคน ที่เรียนจบปริญญาตรีที่ไทย และอยากไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ก็ไม่อยากไปเรียนแค่ภาษา อยากจะไปเรียนทักษะอื่นๆ หรือเพิ่มพูนทักษะในสายงานที่เรียนจบมาด้วย อาจจะยังคิดไม่ตกว่าควรจะเลือกเรียนแบบไหนดี พี่โทนี่ขอแนะนำการไปเรียนต่อในระดับวิชาชีพ ที่ประเทศออสเตรเลียครับ

หลักสูตรวิชาชีพในออสเตรเลีย

หลักสูตรวิชาชีพ คืออะไร?

หลักสูตรวิชาชีพ Vocational Education and Training หรือ VET เป็นหลักสูตรยอดนิยมสำหรับนักเรียนต่างชาติที่ต้องการมาเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ค่าใช้จ่ายไม่สูง มีคุณภาพเพราะอยู่ภายใต้ สำนักงานคุณภาพทักษะออสเตรเลีย (Australian Skills Quality Authority หรือ ASQA) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลในคอร์สเรียนระดับวิชาชีพให้เป็นไปตามมาตรฐาน คอร์สวิชาชีพยังเน้นทักษะการปฏิบัติงานจริง และการฝึกงานในอุตสาหกรรมจริง เหมาะสำหรับนักเรียนต่างชาติที่ต้องการเรียนและทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนที่ออสเตรเลียอีกด้วย อย่างไรก็ตามผู้ที่สนใจหลักสูตรวิชาชีพจะต้องมีคะแนน IELTS 5.5 หรือเทียบเท่าก็สามารถสมัครเรียนได้เลย ส่วนใครที่คะแนนไม่ถึงก็สามารถลงเรียนคอร์สภาษาอังกฤษก่อนได้

คอร์สวิชาชีพ ออสเตรเลีย

สำหรับน้องๆ ที่สนใจการไปเรียนต่อหลักสูตรวิชาชีพ ที่ประเทศออสเตรเลีย แต่ยังไม่รู้ว่าจะเรียนหลักสูตรไหนดี วันนี้พี่โทนี่รวบรวมหลักสูตรวิชาชีพยอดนิยมของนักเรียนไทยและนักเรียนต่างชาติ มาให้น้องๆ แล้ว ซึ่งหลักสูตรที่พี่โทนี่เลือกมานี้รับรองว่าปังจริง บางหลักสูตรสามารถเป็น pathway ไปสู่การขอ PR (Permanent Resident Visa) ของออสเตรเลียได้อีกด้วย จะมีหลักสูตรใดบ้าง ไปดูกันเลย

VET course Australia Cookery

1. Cookery (การทำอาหาร)

หลักสูตรยอดนิยมอันดับหนึ่งสำหรับนักเรียนต่างชาติ รวมถึงนักเรียนไทย เพราะเป็นหลักสูตรที่จะเป็นช่องทางในการขอ PR ในอนาคต คอร์สเรียนเกี่ยวกับการทำอาหาร เมื่อสำเร็จการศึกษา สามารถทำงานในสายงานด้านเชฟ ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในออสเตรเลียและทั่วโลก น้องๆ จะได้เรียนรู้ตั้งแต่ทฤษฎี เคล็ดลับในการทำอาหาร การเตรียมและเลือกวัตถุดิบ เรียนรู้เรื่องความปลอดภัยรวมถึงสุขอนามัยในครัว

หลักสูตรที่แนะนำ

  • Certificate III in Commercial Cookery
  • Certificate IV in Commercial Cookery
  • Diploma in Hospitality Management

VET course Australia Hospitality

2. หลักสูตร Hospitality (การบริการ)

หลักสูตรการบริการ การโรงแรม เป็นหลักสูตรที่จะทำให้น้องๆ ได้เรียนรู้วิธีการจัดการและการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนของงานบริการ ซึ่งงานบริการเป็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในโรงแรม ทั้งแผนกต้อนรับ งานห้องอาหาร หรือแม้แต่งานอีเว้นท์ น้องๆ จะได้เรียนรู้ทั้งทักษะความเป็นผู้นำ การบริหารความเสี่ยง การจัดการแผนงานต่างๆ รวมถึงการบริหารการเงินภายใต้งบประมาณที่มี หากน้องๆ คนไหนที่ทำงานด้านบริการอยู่แล้ว และอยู่ในระดับ Senior แต่ต้องการเพิ่มทักษะด้านการบริการเพิ่มเติม หลักสูตร Hospitality ตอบโจทย์มากๆ

หลักสูตรที่แนะนำ

  • Certificate III in Hospitality
  • Certificate IV in Hospitality
  • Diploma of Hospitality
  • Diploma of Event Management

VET course Australia Leadership and Management

3. หลักสูตร Leadership & Management (ความเป็นผู้นำและการจัดการ)

หลักสูตรยอดนิยมอีกหนึ่งหลักสูตร ตัวหลักสูตรออกแบบมาสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้การทำงานในตำแหน่งหัวหน้า ที่ต้องมีทักษะผู้นำ ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาภาวะผู้นำในองค์กร เหมาะกับน้องๆ ที่ทำงานในองค์กรขนาดใหญ่และต้องการพัฒนาตนเอง เพื่อการเติบโตในสายงานในระดับที่สูงขึ้น

หลักสูตรที่แนะนำ

  • Certificate IV in Leadership and Management
  • Diploma of Leadership and Management
  • Advanced Diploma of Leadership and Management

VET course Australia Business

4. หลักสูตร Business (บริหารธุรกิจ)

หลักสูตรการบริหารธุรกิจเป็นหลักสูตรยอดนิยมในประเทศไทย เพราะน้องๆ หลายคนอยากจะเพิ่มพูนทักษะด้านการบริหารธุรกิจและการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษควบคู่กันไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นผู้ประกอบการ ต้องการเปิดธุรกิจของตัวเอง ต้องการเรียนรู้การบริหาร การจัดการ รวมถึงกลยุทธ์ทางการธุรกิจ เพื่อให้กระบวนการธุรกิจทั้งหมดประสบความสำเร็จ

หลักสูตรแนะนำ

  • Certificate IV in Business
  • Diploma of Business
  • Advanced Diploma of Business

VET course Australia Building and Construction

5. หลักสูตร Building and Construction (อาคารและการก่อสร้าง, งานช่าง)

หลักสูตรสุดท้ายที่พี่โทนี่ขอแนะนำซึ่งเป็นหลักสูตรที่มาแรงอีกหลักสูตรหนึ่ง แต่หลายๆคนอาจจะนึกไม่ถึง นั่นก็คือ หลักสูตรเกี่ยวกับอาคารและการก่อสร้าง ซึ่งในประเทศออสเตรเลีย ทักษะแรงงานด้านนี้เป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก และเป็นสายงานอาชีพที่สามารถต่อยอดในการขอ PR ในออสเตรเลียได้อีกด้วย หลักสูตรนี้น้องๆ จะได้เรียนรู้วิธีการต่างๆ ทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติภายในสถานที่ก่อสร้าง มุ่งเน้นการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย การวางแผนการดำเนินการก่อสร้าง หลักสูตรอาคารและการก่อสร้าง น้องๆ จะได้ฝึกงานในสถานที่ที่โรงเรียนเป็นผู้จัดหาหรือดำเนินการให้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะที่จำเป็นในการทำงานจริง บอกเลยว่างานการก่อสร้างในประเทศออสเตรเลียเป็นงานที่มีค่าตอบแทนที่ถือว่าสูงมากๆ

หลักสูตรแนะนำในหลักสูตร อาคารและการก่อสร้าง รวมถึงงานช่าง

  • Certificate III in Building and Construction (Building)
  • Certificate IV in Building and Construction (Building)
  • Certificate III in Carpentry
  • Certificate III in Painting and Decorating
  • Certificate IV in building and Construction
  • Certificate III in Wall and Floor Tiling
  • Certificate IV in building and Construction

อย่างไรก็ตามสำหรับน้องๆ ที่สนใจเรียนต่อต่างประเทศ หรือสนใจไปเรียนหลักสูตรวิชาชีพ ที่ประเทศออสเตรเลีย สามารถทักมาหาพี่โทนี่ได้เลยที่ Facebook, Line OA, กรอกฟอร์มหน้าเว็บไซต์

Certificate Vs Diploma ที่ประเทศออสเตรเลีย หลักสูตรไหนที่เหมาะกับเรา

Certificate VS Diploma ออสเตรเลีย

มีนักเรียนไทยหลายคนสนใจไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลียกันค่อนข้างมาก นอกจากการไปเรียนภาษาอังกฤษและเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว คอร์สวิชาชีพยังเป็นคอร์สยอดนิยมในปัจจุบัน แต่นักเรียนหลายคนยังไม่แน่ใจว่าควรเรียนอะไรดี ระหว่าง Certificate หรือ Diploma วันนี้พี่โทนี่จะมาแนะนำและอธิบายความแตกต่างระหว่าง 2 คอร์สนี้ให้น้องๆ เอง

Certificate VS Diploma ออสเตรเลีย

ที่ประเทศออสเตรเลีย หลักสูตรวิชาชีพ จะเรียนสั้นๆ ว่า VET ย่อมาจาก Vocational Education Training หลักสูตรวิชาชีพจะได้รับการรับรองจากรัฐบาลออสเตรเลีย หรือ RTOs (Registered Training Organisations) และ ASQA (Australian Skills Quality Authority) เพื่อดูแลและประเมินคุณภาพของสถาบันการศึกษาให้เป็นไปตามมาตราฐาน

คอร์สวิชาชีพ VET Course จะเทียบเท่ากับระดับอาชีวศึกษาหรืออนุปริญญาในระบบการศึกษาไทย โดยจะเริ่มตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร (Certificate I-IV) ระดับ ปวช. (Diploma) ไปจนถึงระดับ ปวส. (Advanced Diploma)

Certificate กับ Diploma ที่ออสเตรเลียต่างกันยังไง?

หลักสูตร Certificate ออสเตรเลีย

หลักสูตร Certificate (I,II,III,IV)

หลักสูตรประกาศนียบัตร เป็นหลักสูตรสายอาชีพสำหรับผู้ที่สนใจที่ต้องการเรียนและทำงานควบคู่กันไป จะช่วยเพิ่มพูนทักษะในสาขาเฉพาะทาง และจะเน้นสอนในการปฏิบัติงานที่ต้องใช้ในการทำงานจริง คอร์สที่เปิดสอนโดยทั่วไปและเป็นที่นิยมสำหรับนักเรียนต่างชาติเป็นอย่างมากคือ หลักสูตร คือ Business (ธุรกิจ), Cookery (ทำอาหาร), Patisserie (ทำขนม),Tourism (การท่องเที่ยว) , Hospitality (งานบริการ), และ Childcare (ดูแลเด็ก) เป็นต้น โดยในการเรียนจะเน้นภาคปฏิบัติ การลงมือทำจริงมากกว่าภาคทฤษฎี ค่าเรียนของคอร์ส Certificate จะราคาถูกว่า และระยะเวลาเรียนจะอยู่ที่ 6-12 เดือน ซึ่งสั้นกว่าหลักสูตร Diploma แต่ระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับสาขาที่เลือกเรียนด้วย

IELTS

สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนหลักสูตร Certificate จะต้องมีระดับภาษาอยู่ที่ Upper-Intermediate หรือ มีผล IELTS 5.5 ขึ้นไป เมื่อเรียนจบระดับ Certificate III ,Certificate IV แล้วบางสถาบันสามารถเข้าเรียนในระดับ Diploma ได้โดยไม่ต้องสอบวัดระดับภาษา

หลักสูตร Diploma ออสเตรเลีย

หลักสูตร Diploma เทียบเท่ากับหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส)

หลักสูตร Diploma เป็นคอร์สวิชาชีพระดับสูง จะมีเนื้อหาที่เข้มข้นกว่าทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ มากกว่าหลักสูตร Certificate ทั้งยังเป็นหลักสูตรพื้นฐานสำหรับนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อเนื่องในระดับปริญญาตรีอีกด้วย ระยะเวลาของหลักสูตร Diploma ระยะเลาเรียนจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 ปี ถ้าเรียนจบระดับ Diploma หรือ Advanced Diploma แล้วสามารถนำวิชาที่เรียนไปยกเว้นบางวิชาในระดับปริญญาตรี หรือการเทียบโอนหน่วยกิตที่เรียกว่า pathway ได้อีกด้วย ถ้าเรียนในสาขาที่ตรงหรือเกี่ยวข้องกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนวิชาที่เรียนลงและประหยัดเวลาได้ 1 – 2 ปีเลยทีเดียว แต่ก็ขึ้นอยู่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถาบันและสาขาที่เราเลือกด้วย

สรุป Certificate VS Diploma ออสเตรเลีย

เนื้อหาข้างบนยาวไป ขี้เกียจอ่าน พี่โทนี่สรุปให้เป็นข้อๆ

ข้อแตกต่างระหว่างหลักสูตร Certificate และ Diploma ที่ออสเตรเลีย

หลักสูตร Certificate

  • เป็นหลักสูตรสายอาชีพ ช่วยเพิ่มพูนทักษะในสาขาเฉพาะทาง
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนและทำงานควบคู่กันไป
  • เน้นสอนในการปฏิบัติงานที่ต้องใช้ในการทำงานจริง
  • ราคาถูกกว่าหลักสูตร Diploma
  • ระยะเวลาเรียนสั้นประมาณ 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับคอร์สที่เลือก)
  • ต้องมีระดับภาษาอยู่ที่ Upper-Intermediate หรือผล IELTS 5.5 ขึ้นไป
  • เมื่อเรียนจบระดับ Certificate III ,Certificate IV บางสถาบันสามารถเข้าเรียนในระดับ Diploma ได้โดยไม่ต้องสอบวัดระดับภาษา

หลักสูตร Diploma

  • เป็นหลักสูตรวิชาชีพระดับสูง
  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการศึกษาต่อเนื่องในระดับปริญญาตรี
  • เนื้อหาเข้มข้นทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ
  • ราคาแพงกว่าหลักสูตร Certificate
  • ใช้เวลาเรียนประมาณ 1-2 ปี (ขึ้นอยู่กับคอร์สที่เลือก)
  • ต้องมีระดับภาษาอยู่ที่ Upper-Intermediate หรือผล IELTS 5.5 ขึ้นไป
  • เมื่อเรียนจบระดับ Diploma หรือ Advanced Diploma สามารถนำวิชาที่เรียนไปยกเว้นบางวิชาในระดับปริญญาตรีได้ ขึ้นอยู่กับสถาบันและสาขาที่เราเลือก
  • บางคอร์สต้องผ่านการเรียนหลักสูตร Certificate มาก่อน

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอจะเห็นความแตกต่างของทั้ง Certificate และ Diploma ที่ประเทศออสเตรเลียกันมากขึ้นแล้วใช่มั้ย ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเรียนคอร์สวิชาชีพ ที่ประเทศออสเตรเลียหรือข้อมูลของคอร์สต่างๆ สามารถปรึกษาพี่ๆโทนี่ได้เลยที่ Facebook, Line OA, กรอกฟอร์มหน้าเว็บไซต์

Ref : https://www.tafensw.edu.au/

7 เหตุผลที่ควรเลือกไปเรียนภาษาอังกฤษที่ยุโรป

เรียนภาษา ยุโรป

อียู หรือ ยุโรป เป็นอีกสถานที่ที่น่าอยู่ และในแต่ละปีมีนักเรียนหลายล้านคนที่เลือกไปเรียนภาษาอังกฤษในประเทศแถบยุโรปนี้ นอกจากจะเป็นการพัฒนาทักษะภาษาแล้ว ยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างอีกด้วย วันนี้พี่โทนี่ มี 7 เหตุผลดีๆ มาช่วยให้น้อง ๆ ตัดสินใจง่ายขึ้น ในการเลือกไปเรียนภาษาอังกฤษในประเทศอียู

เรียนภาษาที่ 3

1) เพิ่มโอกาสด้านหน้าที่การงานในอนาคต

การที่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศในยุโรป ถือเป็นการปูทางทางด้านอาชีพการงานในอนาคต เราสามารถที่จะอยู่ต่อได้หลังจากเรียนจบ หลาย ๆ ประเทศในยุโรปพยายามโน้มน้าวให้นักเรียนต่างชาติยู่ต่อหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ซึ่งทางรัฐบาลก็สนับสนุนให้นักเรียนต่างชาติอยู่ทำงานต่อและหางานที่มั่นคงให้หลังจากเรียนจบ การที่เราได้รัฐบาลสนับสนุน ทำให้เราสามารถหางานทำในประเทศอียูได้ย่างถูกกฎหมาย ซึ่งสิ่งนี้จึงเป็นการช่วยเราในการหางานที่ดีในอนาคตได้

2) มีมาตรฐานการศึกษาระดับโลก

ระบบการศึกษาในประเทศอียู เป็นที่ยอมรับในมาตรฐานสากลในระดับโลก มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดหลายแห่งก็ตั้งอยู่ในยุโรป เมื่อจบการศึกษาจากที่นี่นอกจากจะได้รับการยอมรับแล้ว คนที่จบจากมหาวิทยาลัยในยุโรปก็ยังเป็นที่ต้องการขององค์กรหรือบริษัทใหญ่ๆ อีกด้วย

3) มีทางเลือกสาขาในการเรียนที่หลากหลาย

เป็นที่รู้กันดีว่ามีมหาวิทยาลัยมากมายอยู่ในยุโรป ซึ่งมีหลักสูตรให้เลือกมากมาย มีให้เลือกทุกระดับ ทุกสาขา ทุกแขนง ที่อยากเรียน มีตั้งแต่มหาวิทยาลัยขนาดเล็กไปถึงมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งเพียบพร้อมและเพียงพอสำหรับทุกคน น้อง ๆ สามารถเลือกเรียนในหลักสูตรที่ต้องการได้

4) ค่าใช้จ่ายในการเรียนไม่แพง

ค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยรัฐส่วนใหญ่ในยุโรป ถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา หรือ ออสเตรเลีย และในบางประเทศในยุโรปไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยซ้ำ เรียนฟรี และยังมีโอกาสที่จะได้รับทุนการศึกษาอีกด้วย และยังมีทางเลือกอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยสนับสนุนค่าเล่าเรียนในระว่างที่เราศึกษาอยู่ที่นั่น

5) ง่ายต่อการเดินทางทั่วยุโรป

เวลาที่เรียนที่ยุโรป การเดินทางไปทั่วยุโรปนั้นง่ายมาก เพราะวีซ่านักเรียน ทำให้น้อง ๆ สามารถเดินทางไปยัง 26 รัฐของยุโรปได้ การคมนาคมระหว่างประเทศก็ง่ายและใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน ตั๋วเที่ยวบินก็ราคาไม่แพง รถไฟและรถบัสก็มีให้บริการอย่างครบครัน เมื่อได้ไปเรียนที่ยุโรปแล้วควรใช้โอกาสนี้ออกเดินทางไปดูประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป ให้เป็นประสบการณ์และกำไรของชีวิต

6) ระบบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยสอดคล้องกัน

ระบบการศึกษาในมหาวิยาลัยต่างๆในยุโรปสอดคล้องกันหมด ถ้าจบการศึกษาที่ประเทศสวีเดน ก็สามารถไปทำงานได้ที่เยอรมัน หรือสหราชอาณาจักรได้ เพราะวุฒิการศึกษาของทุกประเทศในยุโรปมีความเท่าเทียมกันหมด สามารถเอาวุฒิที่ได้ไปสมัครงานหรือเรียนต่อในประเทศอื่นๆ ได้

7) ภาษาในการเรียนเป็นภาษาอังกฤษ

ไม่ต้องกังวลว่าจะใช้ชีวิตประจำวันลำบาก เพราะสามารถใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้ ระบบการเรียนก็สามารถเลือกเรียนเป็นภาษาอังกฤษได้ ซึ่งการไปเรียนที่ยุโรป นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ยังได้ฝึกภาษาที่สาม ที่เป็นภาษาท้องถิ่นเพิ่มอีกด้วย ตามรัฐ หรือประเทศที่ไปอยู่

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหากน้อง ๆ คนไหนสนใจไปเรียนภาษาอังกฤษที่ยุโรปก็ทักพี่โทนี่มาได้เลยทั้งทาง Facebook, Line หรือฟอร์มติดต่อเราที่หน้าเว็บไซต์

Ref : https://www.study.eu

เปิดรับสมัครแล้ว !! โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส จีน (ประจำปีการศึกษา 2566-2567)

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน คือ โครงการที่เปิดโอกาสให้น้องๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษา ได้มีโอกาสเข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยมรัฐบาลในต่างประเทศเป็นระยะเวลา 1 ปีการศึกษา ตามหลักสูตรที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพ พร้อมทั้งเรียนรู้และพัฒนาตนเองในด้านต่างๆไมว่าจะเป็นทักษะทางด้านภาษา วัฒนธรรม การปรับตัว ความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ความมีวินัย อีกทั้งยังได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอาสาสมัคร และเรียนรู้ชีวิตของคนท้องถิ่นอีกด้วย นอกจากนี้น้องๆยังได้ประสบการณ์ท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ๆได้พบปะเพื่อนจากหลากหลายๆประเทศ และค้นพบตัวเองที่เติบโตทางความคิดขึ้นอีกหนึ่งขั้นและพร้อมจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีอนาคตที่ดี

พี่โทนี่มีโปรแกรมนักเรียนแลกเปลี่ยนให้น้องๆ ให้เลือกไปหลายโปรแกรมด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น โครงการทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศ อเมริกา, แคนาดา, ฝรั่งเศส, จีน มาดูกันครับว่าแต่ละโครงการมีข้อกำหนดเรื่องอะไรกันบ้าง

โครงการทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนร่วมกับมูลนิธิ Nacel Open Door (NOD) ประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

มูลนิธิ NACEL OPEN DOOR คือใคร?

Nacel Open Door, Inc. (NOD) คือองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้านภาษาและวัฒนธรรม มีหน้าที่ประสานงานและคัดเลือกโรงเรียนมัธยมท้องถิ่น รวมทั้งครอบครัวอุปถัมภ์อาสาสมัครสำหรับนักเรียนที่เดินทางมาจากทั่วทุกมุมโลกโดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1957 และอยู่ภายใต้มาตรฐานองค์กรแลกเปลี่ยนทางการศึกษานานาชาติ (CSIET หรือ The Council on Standards for International Educational Travel) มีสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่เมืองเซนต์ปอล รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้มอบหมายให้บริษัท โทนี่ เอ็ดดูเคชั่น จำกัดเป็นตัวแทนที่ประเทศไทย

 

ทำไมควรเข้าร่วมโครงการทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา?

  • เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและใช้ในชีวิตประจำวันตลอดระยะเวลา 10 เดือน
  • มีโอกาสไปแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น และค่าใช้จ่ายถูกกว่าไปเอง 2-3 เท่า
  • เพื่อมีโอกาสใช้ชีวิตในต่างประเทศสักครั้ง และได้เพิ่มมุมมองและความคิดใหม่ๆ
  • เพื่อเพิ่มประสบการณ์ชีวิตที่ไม่สามารถหาได้ในชั้นเรียนและเพื่อเพิ่มศักยภาพในตัวเองพร้อมกับวุฒิภาวะที่มากขึ้น
  • เพราะความแตกต่างหลากหลายของวัฒนธรรม จะทำให้ชีวิตมีรสชาติและเข้าใจอะไรมากขึ้น

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

ใครที่สามารถเข้าร่วมโครงการทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดาได้?

  • นักเรียนทุกคนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 – ชั้นปีที่ 4 มีสิทธิ์สมัครสอบ
  • นักเรียนที่สอบผ่านข้อเขียนและการสัมภาษณ์โดยทางตัวแทนมูลนิธิฯ
  • นักเรียนที่มีอายุ 15 – 18 ปีบริบูรณ์ (ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2566)
  • นักเรียนที่ต้องการพัฒนาภาษาอังกฤษแบบจริงจัง เพื่อไปใช้เรียนต่อมหาวิทยาลัย หรือประกอบอาชีพในอนาคต
  • นักเรียนที่อยากค้นหาตัวเอง และเป้าหมายในชีวิต
  • นักเรียนที่ต้องการอิสระทางความคิด และต้องการเรียนรู้ความเป็นอยู่และวัฒนธรรมอเมริกัน และแคนาเดียน

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

ขั้นตอนเข้าร่วมโครงการทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดามีอะไรบ้าง?

  1. ติดต่อขอรับใบสมัครสอบได้ที่ ตัวแทนมูลนิธิฯ ที่เบอร์ 093-236-4553 หรือ Line : @tonyeducation
  2. ถ้าสอบผ่านข้อเขียนภาษาอังกฤษ ก็จะได้สอบสัมภาษณ์กับตัวแทนมูลนิธิฯ
  3. หลังจากผ่านแล้วก็จะนัดประชุมผู้ปกครองเพื่อรับฟังระเบียบและขั้นตอน
  4. สมัครเข้าร่วมโครงการ พร้อมชำระค่ามัดจำ 25,000 บาท
  5. ทำ Portfolio เพื่อส่งให้มูลนิธิฯ คัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ
  6. รอผลตอบรับจากทางมูลนิธิฯ
  7. เตรียมเอกสารและทำวีซ่า
  8. ปฐมนิเทศก่อนเดินทาง
  9. ออกเดินทาง เดือนสิงหาคม หรือเดือนกันยายน ปี 2566
  10. เดินทางกลับถึงประเทศไทยช่วงเดือน มิถุนายน ปี 2567
  11. ดำเนินการเรื่องการเทียบโอนผลการเรียน

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

ระยะเวลาเข้าร่วมโครงการฯและค่าใช้จ่ายโครงการทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา

อมริกา

ระยะเวลา 10 เดือน (1 ปีการศึกษา) เดินทาง สิงหาคม ปี 2566 – มิถุนายน ปี 2567 ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด 490,000 บาท สามารถแบ่งชำระได้

แคนาดา

ระยะเวลา 10 เดือน (1 ปีการศึกษา) เดินทาง สิงหาคม ปี 2566 – มิถุนายน ปี 2567 ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด 780,000 บาท สามารถแบ่งชำระได้

 

สิ่งที่รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายโครงการทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา

  1. ค่าเทอม
  2. ค่าที่พัก
  3. ค่าอาหารเช้าเย็น (วันธรรมดา) และค่าอาหาร 3 มื้อ (เสาร์- อาทิตย์) ที่จัดทำโดยครอบครัวอุปถัมภ์
  4. ค่าจัดหาและตรวจสอบครอบครัวอุปถัมภ์ของนักเรียน
  5. ค่าออกจดหมาย DS-2019 สำหรับใช้ยื่นวีซ่า รวมถึงค่าธรรมเนียมวีซ่า (VISA FEE)
  6. ค่าประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ รวมถึงรักษาโรค Covid-19 ในกรณีที่ตรวจพบโรคระหว่างเข้าร่วมโครงการในประเทศอุปถัมภ์ (ไม่รวมโรคที่เป็นมาก่อนเข้าร่วมโครงการ)
  7. ค่าติดต่อดำเนินการ / ประสานงานของเจ้าหน้าที่มูลนิธิและเจ้าหน้าที่โครงการในประเทศไทย
  8. ค่าบริการรับส่งนักเรียนที่สนามบิน
  9. ค่าจัดทำประกาศนียบัตร Honorary Diploma
  10. ค่าตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ ชั้นประหยัด
  11. ประเทศอเมริกา รวมค่าค่ายที่เมืองชิคาโก้ 3 วัน 2 คืน ประมาณ 15,000 บาท

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

สิ่งที่ไม่รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายโครงการทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา

  1. ค่าใช้จ่ายการแปลเอกสารทำวีซ่าและค่าจัดทำเอกสารอื่นๆ ก่อนการเดินทาง
  2. ค่าตรวจสุขภาพก่อนเดินทาง
  3. ค่าน้ำหนักกระเป๋าของเที่ยวบินภายในประเทศ และค่าใช้จ่ายน้ำหนักกระเป๋าที่เกินอัตรากำหนดของแต่ละสายการบิน
  4. ค่าใช้จ่ายส่วนตัวรวมถึงค่าอาหารกลางวันที่โรงเรียน และค่าใช้จ่ายด้านกีฬาและสันทนาการอื่นๆ ของโรงเรียนเพิ่มเติม
  5. ค่าทัศนศึกษาระหว่างปีของมูลนิธิ Nacel Open Door (หมายเหตุ นักเรียนสามารถตัดสินใจเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็ได้)
  6. ค่าตรวจเชื้อ Covid-19/ ค่าใช้จ่ายในการ Quarantine/ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวกับมาตรการ Covid-19 ทั้งที่เกิดในประเทศและต่างประเทศ

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนฝรั่งเศส กับมูลนิธิ Nacel Open Door

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

ประเทศฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในจุดหมายของนักเรียนต่างชาติ เพราะภาษาฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในภาษาที่มีคนใช้เยอะทั่วโลกรองจากภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสจึงมีสถาบันภาษาที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่หลายแห่งตามหัวเมืองใหญ่ มีโรงเรียนมัธยม วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยชั้นนำมากมาย และด้วยความสวยงามของภูมิประเทศและแหล่งท่องเที่ยวที่มีมากมาย ทำให้มีนักเรียนไทยนิยมไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสกันเป็นจำนวนไม่น้อยเลยในแต่ละปี รวมถึงการเป็น นักเรียนแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศส ด้วย

 

ทำไมควรเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศส?

  • เพื่อพัฒนาทักษะภาษาฝรั่งเศสเอาไปใช้ในอนาคต ทั้งการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยและการประกอบอาชีพ
  • ได้ประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่กับคนพื้นเมือง เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของคนฝรั่งเศส
  • เพื่อเพิ่มประสบการณ์ชีวิตที่ไม่สามารถหาได้ในชั้นเรียนและเพิ่มศักยภาพในตัวเองพร้อมกับวุฒิภาวะที่มากขึ้น

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

ใครที่สามารถเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนฝรั่งเศสได้?

  • นักเรียนทุกคนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 – ชั้นปีที่ 4 มีสิทธิ์สมัครสอบ
  • นักเรียนที่มีอายุ 15 – 18 ปี (อายุ 15 ปีก่อนวันเดินทาง)
  • นักเรียนที่มีพื้นฐานภาษาฝรั่งเศสอย่างน้อย 2 ปี หรือสอบผ่านภาษาฝรั่งเศสเลเวล A2 ขึ้นไป
  • นักเรียนที่ต้องการพัฒนาภาษาฝรั่งเศส อยากค้นหาตัวเอง และเป้าหมายในชีวิต
  • นักเรียนที่ต้องการอิสระทางความคิด และต้องการเรียนรู้ความเป็นอยู่และวัฒนธรรมฝรั่งเศส

 

ระยะเวลาเข้าร่วมโครงการและค่าใช้จ่ายโครงการแลกเปลี่ยนฝรั่งเศส

ระยะเวลา 10 เดือน (1 ปีการศึกษา) เดินทาง สิงหาคม ปี 2566 – มิถุนายน ปี 2567 ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด 340,000 บาท*

* ค่าใช้จ่ายรวมทุกอย่างแล้ว!! ค่าโครงการ, ค่าตั๋วเครื่องบิน, ค่าวีซ่า, ค่าประกันสุขภาพ, ค่าที่พัก, ค่าอาหาร
* ไม่รวมค่าตรวจสุขภาพก่อนเดินทาง, ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนจีน

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก มีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคนหรือเกือบจะประมาณ 1 ใน 5 ของประชากรโลก ทำให้มีจำนวนคนใช้ภาษาจีนเยอะที่สุดในโลก เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อารยธรรมจีนโบราณ ยังถือว่าเป็นหนึ่งอารยธรรมยุคแรกเริ่มของโลก ประเทศจีนในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญมาก หลายเมืองมีการใช้เทคโนโลยีแทนเงินสด มีการวางระบบขนส่งที่ทันสมัยและสะดวกมากขึ้น การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จีน อาจจะเป็นการเดินทางครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตคุณเลยก็ได้

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

ทำไมควรเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จีน?

  • เพื่อพัฒนาทักษะภาษาจีนเอาไปใช้ในอนาคต ทั้งการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยและการประกอบอาชีพ
  • ได้ประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่กับคนพื้นเมือง เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของคนจีน
  • นักเรียนได้มีโอกาสสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ในหอพัก และยังได้มีโอกาสพักกับครอบครัวอุปถัมภ์ชาวจีน ด้วย

 

ใครที่สามารถเข้าร่วมโครงการโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนจีนได้?

  • นักเรียนทุกคนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 – ชั้นปีที่ 4 มีสิทธิ์สมัครสอบ
  • นักเรียนที่สอบผ่านข้อเขียนภาษาอังกฤษ และสัมภาษณ์กับตัวแทนมูลนิธิ
  • นักเรียนที่มีอายุ 15 – 18 ปี (อายุ 15 ปีก่อนวันเดินทาง)
  • ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานภาษาจีนมาก่อน
  • นักเรียนที่ต้องการพัฒนาภาษาจีน อยากค้นหาตัวเอง และเป้าหมายในชีวิต

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

ระยะเวลาเข้าร่วมโครงการและค่าใช้จ่ายโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนจีน

1. ระยะเวลา 10 เดือน (1 ปีการศึกษา) เดินทาง สิงหาคม ปี 2566 – มิถุนายน ปี 2567 ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด 340,000 บาท**

2. ระยะเวลา 5 เดือน (1 เทอมการศึกษา) เดินทาง มกราคม ปี 2566 – มิถุนายน ปี 2566 ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมด 290,000 บาท**

** ค่าใช้จ่ายรวมทุกอย่างแล้ว!! ค่าโครงการ, ค่าตั๋วเครื่องบิน, ค่าวีซ่า, ค่าประกันสุขภาพ, ค่าที่พัก
** ค่าอาหารขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียน โรงเรียนที่ไม่รวมอาหาร นักเรียนสามารถซื้อทานได้เองที่โรงอาหารโรงเรียน ประมาณ 40-60 บาทต่อมื้อ
** ไม่รวมค่าตรวจสุขภาพก่อนเดินทาง, ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ

สมัครเข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนได้แล้ววันนี้ โควต้ามีจำนวนจำกัด!!

 

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

รู้หรือไม่?

ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนกลับมาแล้วไม่ต้องซ้ำชั้น!!! ยกเว้น นักเรียนที่ต้องการเป็น แพทย์ วิศวกร หรือคณะที่ต้องใช้เกรดยื่น 5 เทอม

ติดต่อขอรับใบสมัครสอบหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่เบอร์ 093-236-4553 (พี่กิ๊ก) หรือ Line : @tonyeducation

4 เหตุผลในการเลือกโปรแกรมการศึกษาแบบ CO-OP ในแคนาดา

โปรแกรม co-op แคนาดา

น้องๆคนไหนที่กำลังมองหา หลักสูตร ที่สามารถทั้งเรียนและทำงานที่ประเทศแคนาดาได้ พี่ Tony ขอแนะนำ “โปรแกรม CO-OP” เลยครับ โปรแกรมนี้นักเรียนสามารถทำงานพาร์ทไทม์ ระหว่างเรียนได้ 20 ชม. ต่อสัปดาห์ และทำงาน Full-time ได้ในช่วงระยะเวลาฝึกงานแบบ CO-OP อีก 6 – 12 เดือน สำหรับน้องๆที่สนใจ มาดูเหตุผลกันดีกว่าว่าทำไมควรเลือกโปรแกรมการศึกษาแบบ CO-OP ในแคนาดา

โปรแกรม co-op แคนาดา

1. เพื่อเป็นการค้นหาอาชีพที่ดีที่สุดสำหรับน้องๆในอนาคต

การเลือกอาชีพในอนาคตไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะตัดสินใจ ปัจจุบันนี้มีอาชีพหลากหลายให้น้องๆได้เลือก! แต่การเลือกอาชีพที่เหมาะสมกับตัวเองหรือแม้แต่การเลือกอาชีพที่ตัวเองถนัดก็อาจจะทำให้น้องๆตัดสินใจได้ยากขึ้น

ดังนั้นการเลือกเรียนโปรแกรม CO-OP ที่สามารถให้น้องๆได้เจาะลึกการเรียนรู้ในหลากหลายสาขาอาชีพที่น้องๆสนใจ จะสามารถช่วยให้น้องๆตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

โปรแกรม co-op แคนาดา

2. หารายได้และประสบการณ์ในสาขาการศึกษาของน้องๆ

นักศึกษาต่างชาติจำนวนมากเลือกศึกษาต่อที่ประเทศแคนาดา เนื่องจากว่าแคนาดาเป็นประเทศที่สามารถเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วยได้ ด้วยการเลือกเรียนโปรแกรม CO-OP นอกจากนี้ น้องๆจะได้รับโอกาสในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่น้องๆกำลังศึกษาอยู่ และแน่นอนว่าจะได้มีรายได้จากการฝึกงานดังกล่าวด้วย

นอกจากนี้ น้องๆจะได้เพิ่มประสบการณ์การทำงานตอนที่อยู่แคนาดาลงไปในเรซูเม่ขอน้องๆไปได้อีกด้วยด้วย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมนักศึกษาจำนวนมากทั่วโลกจึงต้องการลงเรียนโปรแกรมนี้ เนื่องจากมีบริษัทจำนวนมากที่ต้องการรับคนที่มีประสบการณ์ เข้าทำงาน ดังนั้นโปรแกรม CO-OP ของแคนาดา จึงเป็นโปรแกรมที่ให้น้องๆพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายของตลาดงานในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน

โปรแกรม co-op แคนาดา

3. ทำให้ความฝันของน้องๆในการศึกษาและทำงานในแคนาดาให้เป็นจริง

ด้วยเหตุผลได้กล่าวไปแล้วในหัวข้างต้น รายได้จากการทำงานในโครงการ CO-OP สามารถทำได้น้องๆสามารถนำมาจ่ายในเรื่องของที่พัก ค่ากิน รวมไปถึงการเดินทางท่องเที่ยวในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ที่แคนาดาโดยไม่ต้องรบกวนเงินจากที่บ้านของน้องๆเลย

นอกจากนี้ น้องๆบางคนอาจจะได้รับโอกาสในการทำงานกับบริษัทที่น้องๆฝึกงาน หลังจากเรียนจบโปรแกรม Co-OP ต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งสำคัญในการประกอบอาชีพของน้องๆในอนาคตที่ประเทศแคนาดาได้เลย

โปรแกรม co-op แคนาดา

4. สามารถสร้างเครือข่ายการทำงานในอนาคต

ทุกวันนี้ เครือข่ายมีความสำคัญมากต่ออนาคตทางด้านอาชีพการงาน ดังนั้นการได้รู้จักผู้คนหลากหลายในสาขาอาชีพงานที่เกี่ยวข้อง จึงมีความสำคัญและจำเป็นเป็นอย่างยิ่งต่อการอาชีพการงานของน้องๆในอนาคต

หากน้องๆ คนไหนสนใจโปรแกรม CO-OP ที่ประเทศแคนาดาสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยครับ

9 เหตุผลที่ควรไปเรียนต่อต่างประเทศ

เรียนต่อต่างประเทศ ข้อดี

การได้ไปเรียนต่อต่างประเทศถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิตมาก ไม่ว่าจะเป็นการไปเรียนช่วงซัมเมอร์, โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน, เรียนต่อมัธยมม, เรียนต่อมหาวิทยาลัย หรือไปเรียนภาษา นอกจากเราจะได้ไปศึกษาที่ต่างประเทศแล้ว เรายังซึมซับเสน่ห์และวัฒนธรรมของประเทศที่เราเลือกไปอีกด้วย วันนี้พี่โทนี่มี 9 เหตุผลดีๆ มาบอก เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจว่าทำไมน้องๆ ถึงควรที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศสักครั้งในชีวิต

เรียนต่อต่างประเทศ ข้อดี

1 ได้มองเห็นโลก

การไปเรียนต่อต่างประเทศ เป็นโอกาสที่จะได้มองเห็นโลกใหม่ๆ ทั้งมุมมองด้านขนมธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมที่แตกต่างจากประเทศที่เราอยู่ ได้ทั้งการศึกษาและการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ในประเทศนั้นๆ นอกจากนี้ยังสามารถไปเที่ยวประเทศอื่นใกล้ๆกับประเทศที่ไปเรียนต่อได้อีกด้วย

2 ได้เห็นการศึกษาที่แตกต่าง

ในบางประเทศก็จะมีรูปแบบการศึกษาที่แตกต่างกัน บางทีเราก็มีโอกาสได้เรียนในวิชาที่ไม่มีในบ้านเรา ได้เห็นวิชาใหม่ๆ ในระบบการศึกษาที่แตกต่าง ซึ่งการซึมซับระบบการศึกษาของแต่ละประเทศ เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการได้สัมผัสและเข้าใจผู้คน ประเพณี และวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี

3 ได้สัมผัสวัฒนธรรมใหม่

หลายคนที่เลือกเรียนต่อต่างประเทศเป็นครั้งแรก เมื่อได้ไปที่ประเทศนั้น หลายคนจะรู้สึกทึ่งกับมุมมองทางวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป เพราะจะได้พบกับอาหาร ขนบธรรมเนียม ประเพณี และบรรยากาศทางสังคมใหม่ๆ ที่น่าทึ่ง

เรียนต่อต่างประเทศ ข้อดี

4 ได้ฝึกฝนทักษะทางภาษา

การไปเรียนต่อในต่างประเทศ เป็นการเปิดโอกาสให้น้องๆได้ฝึกฝนทักษะภาษาด้วยตัวเอง จริงอยู่ที่ว่าวิธีการฝึกภาษามีมากมาย แต่ถ้าได้ฝึกใช้ในชีวิตจริง ย่อมเป็นวิธีที่ได้ผลกว่าอย่างแน่นอน

5 เพิ่มโอกาสในการทำงานในอนาคต

หลังจากจบคอร์สที่ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศแล้ว น้องๆ จะมีมุมมองใหม่เกี่ยวกับวัฒนธรรม ทักษะทางภาษา การศึกษา และความเต็มใจที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโชน์ต่อการทำงานในอนาคต

6 ได้ค้นหาความสนใจใหม่

การไปเรียนในประเทศอื่น มีกิจกรรมและความสนใจใหม่ๆ มากมาย รอเราอยู่ ด้วยความแตกต่างด้านภูมิประเทศ น้องๆ จะได้ลอง กีฬาและกิจกรรมอื่นๆ ที่เราไม่เคยลองมาก่อน เช่น การเล่นสกีหิมะ เป็นต้น

เรียนต่อต่างประเทศ ข้อดี

7 ได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่

ข้อดีอีกอย่างหนึ่ง คือการได้พบเพื่อนใหม่ๆ จากประเทศที่แตกต่างกัน เพราะในขณะเรียน น้องๆจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนและอาศัยอยู่กับนักเรียนจากประเทศเจ้าบ้าน สิ่งนี้จะทำให้มีโอกาสได้รู้จักและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนนักเรียน หลังจากโปรแกรมการศึกษาต่อต่างประเทศสิ้นสุดลง พยายามติดต่อกับเพื่อนต่างชาติเอาไว้ เพราะนอกจากจะเป็นการรักษาสัมพันธ์อันดีแล้ว เพื่อนเหล่านี้ยังเป็นเครือข่ายทางสังคมในอนาคตด้วย

8 ได้พัฒนาตนเอง

การอยู่คนเดียวในต่างประเทศ เปิดโอกาสในการค้นพบตัวเอง ขณะที่ต้องทำความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่าง การอยู่ในที่ใหม่ด้วยตัวเองอาจเป็นเรื่องที่ยากในบางครั้ง ซึ่งเป็นการทดสอบความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่หลากหลายและการแก้ปัญหาที่พบเจอได้

9 ได้ประสบการณ์ในชีวิต

ทำไมต้องเรียนต่อต่างประเทศ? สำหรับคนส่วนใหญ่ ครั้งนี้อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะได้เดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลานาน เพราะสุดท้ายแล้วพอเรียนจบก็ต้องหางานทำ และโอกาสในการศึกษาต่อต่างประเทศนั้นก็อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต

เรียนต่อต่างประเทศ ข้อดี

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วน้องๆคนไหน สนใจไปเรียนต่อต่างประเทศกับ Tony Education ก็สามารถติดต่อกันเข้ามาได้ ทางเรามีหลักสูตรเรียนต่อต่างประเทศดีๆ มากมายรอน้องๆ อยู่ ที่สำคัญนอกจากจะให้คำปรึกษาแล้วยังมีทีมงานคอยดูแลน้องๆ ตลอดที่ขณะเรียนที่ต่างประเทศอีกด้วย

เรียนต่อประเทศไหน ทำงานพาร์ทไทม์ได้บ้าง

เรียนต่อต่างประเทศ งานพาร์ทไทม์

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อพัฒนาทักษะทางด้านภาษาและสัมผัสประสบการณ์ในการใช้ชีวิตต่างแดนให้คุ้มค่า แต่ไม่มีเงินหรือทุนการศึกษาเพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด คุณสามารถหางานทำนอกเวลาเรียนหรือที่เรียกว่างานพาร์ทไทม์ได้

งานพาร์ทไทม์ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณจ่ายสำหรับการศึกษาและการใช้ชีวิตแต่ยังช่วยให้คุณเข้าใจถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศนั้นๆเพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพและเพิ่มความคล่องตัวในการใช้ชีวิตในต่างประเทศให้คุณได้อีกด้วย

หลายๆประเทศอนุญาตให้คุณสามารถทำงานพาร์ทไทม์ได้แต่คุณจำเป็นต้องศึกษากฎระเบียบและเงื่อนไขของประเทศต่างๆอย่างถี่ถ้วนเพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกประเทศที่คุณต้องการไปศึกษาต่อและทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย

เรียนต่อต่างประเทศ งานพาร์ทไทม์

กฎการจ้างงานสำหรับนักศึกษาต่างชาติของประเทศต่างๆ

นี่คือรายละเอียดของกฎการจ้างงานในปัจจุบันสำหรับนักศึกษาต่างชาติในประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในต่างประเทศ โปรดจำไว้ว่า กฎหมายมีการปรับเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงควรตรวจสอบกฎระเบียบข้อบังคับอีกครั้งก่อนเดินทาง

  • USA ตราบใดที่คุณมีวีซ่านักเรียน F1 คุณสามารถทำงานในมหาวิทยาลัยได้ในช่วงปีแรกของคุณ และคุณสามารถย้ายไปทำงานนอกมหาวิทยาลัยได้ในช่วงปีที่สองของคุณ ไม่จำกัดจำนวนชั่วโมงที่คุณทำงานได้
  • UK สามารถทำงานในสหราชอาณาจักรได้โดยไม่มีข้อจำกัด นักเรียนนอกสหภาพยุโรปที่มีวีซ่านักเรียนระดับ 4 สามารถทำงานได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในช่วงเปิดภาคเรียน หรือทำงานเต็มเวลาในช่วงวันหยุดของมหาวิทยาลัย
  • China คุณต้องมีวีซ่านักเรียนจีนและได้รับอนุญาตจากหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของจีนหากคุณต้องการทำงานในประเทศ
  • Canada นักศึกษาเต็มเวลาของแคนาดาที่ลงทะเบียนในสถาบันการศึกษาที่กำหนดมีสิทธิ์ทำงานนอกวิทยาเขตได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ใบอนุญาตการศึกษาในแคนาดาของคุณจะระบุสิทธิ์การจ้างงานที่แน่นอนของคุณ
  • Australia ผู้ถือวีซ่านักเรียนชาวออสเตรเลียสามารถทำงานได้โดยไม่มีข้อจำกัดในช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัย หรือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในช่วงภาคการศึกษา
  • France นักเรียนต่างชาติทุกคนที่มีวีซ่านักเรียนฝรั่งเศสมีสิทธิ์ทำงาน 964 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งคิดเป็นประมาณ 18.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
  • Russia ผู้ถือวีซ่านักเรียนรัสเซีย สามารถทำงานได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยสัญญาจ้างงานของคุณจะสิ้นสุดในเวลาเดียวกับที่คุณเรียน
  • Germany หากคุณมาจากนอกสหภาพยุโรป แต่มีวีซ่านักเรียนเยอรมันที่ถูกต้อง คุณสามารถทำงานได้ 120 วันหรือ 240 วันครึ่งต่อปี นักเรียนสหภาพยุโรปได้รับอนุญาตให้ทำงาน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
  • New Zealand หากคุณใช้วีซ่านักเรียนนิวซีแลนด์ที่ยังไม่หมดอายุ คุณจะได้รับอนุญาตให้ทำงานได้ไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คุณสามารถทำงานได้มากเท่าที่คุณต้องการในช่วงวันหยุด
  • Japan คุณจะต้องยื่นขอใบอนุญาตทำงานแยกต่างหากหากต้องการทำงานในประเทศญี่ปุ่น ประเภทของงานที่คุณจะได้รับจะถูกจำกัดด้วย ตัวอย่างเช่น การทำงานในบาร์หรือร้านค้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
  • Spain เนื่องจากคุณมีวีซ่านักเรียนและใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้อง พลเมืองที่ไม่ใช่สหภาพยุโรปสามารถทำงานได้ถึง 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในสเปน นักเรียนสหภาพยุโรป EEA และสวิสไม่มีข้อจำกัดในการจ้างงาน

เรียนต่อต่างประเทศ งานพาร์ทไทม์

เคล็ดลับสำหรับนักเรียนต่างชาติที่จะทำงานในต่างประเทศ

  • จัดลำดับความสำคัญของการศึกษา: หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องของการศึกษาของคุณ อย่าปล่อยให้การทำงานนอกเวลามารบกวนการเรียนของคุณ คุณควรจัดเวลาการทำงานและการเรียนให้เหมาะสม
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณทำงานอย่างถูกกฎหมาย: การทำงานโดยไม่มีวีซ่าหรือใบอนุญาตที่ถูกต้องอาจทำให้คุณประสบปัญหาร้ายแรงได้ คุณจึงควรทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ
  • อย่าใช้เวลาว่างไปกับการทำงาน: การใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมีมากกว่าแค่การเรียนและการทำงาน คุณควรใช้เวลาในการท่องเที่ยว และสนุกสนานกับเพื่อนๆบ้างอย่ามัวแต่เรียนหรือทำงานอย่างเดียว
  • หางานที่คุณชอบ: อย่ารับงานที่ทำให้คุณลำบากใจและทำลายประสบการณ์การเรียนของคุณ คุณควรลองมองหางานตามความถนัดหรือความชอบของคุณ ไม่แน่งานเหล่านี้อาจจะเพิ่มทักษะในการทำงานของคุณในอนาคตได้ด้วย

น้องๆคนไหน สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถ แอดไลน์ @tonyeducation (มี @ ด้วยนะคะ) หรือ โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ 093-236-4553

Ref : https://studee.com/

สิ่งที่น้องๆไม่ควรพลาดเมื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ

การเรียนต่อต่างประเทศ

การเรียนต่อต่างประเทศเป็นประสบการณ์ที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตของน้องๆได้จากการสัมผัสกับวัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ และเหนือสิ่งอื่นใดคือความสนุกสนานพร้อมกับการสร้างมิตรภาพที่ยอดเยี่ยมในช่วงเวลาพิเศษในต่างแดน

สําหรับนักเรียนส่วนใหญ่การเรียนต่างประเทศอาจจะเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต เช็คลิสต์ต่อไปนี้จะช่วยให้น้องๆได้รับประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าจากการเรียนต่อต่างประเทศ

สิ่งที่น้องๆไม่ควรพลาดเมื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ

หาเพื่อนที่หลากหลาย

การเรียนต่อต่างประเทศเป็นโอกาสพิเศษในการพบปะและใช้เวลาร่วมกับผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ดังนั้นอย่าจํากัดวงมิตรภาพของตัวเอง การมีส่วนร่วมกับสโมสรนักเรียน ทีมกีฬาและโครงการอาสาสมัครล้วนเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการพบปะกับนักเรียนคนอื่นๆทั้งนักเรียนท้องถิ่นและต่างชาติ

อย่าลืมที่จะเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านด้วย พวกเขาจะกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยม พวกเขาจะสามารถช่วยแนะนําร้านอาหารท้องถิ่นที่ดีที่สุด หรือช่วยนำทางไปสถานที่ที่ท่องเที่ยวเจ๋งๆ รวมทั้งเป็นผู้ช่วยสำคัญให้น้องๆปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย…

สิ่งที่น้องๆไม่ควรพลาดเมื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ

ลองเรียนรู้ภาษาท้องถิ่น

แม้ว่าเป้าหมายหลักของน้องๆจะเป็นการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ แต่การเรียนต่อต่างประเทศก็เป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆโดยเฉพาะภาษาที่ใช้กันแพร่หลายในท้องถิ่นนั้น

การเริ่มต้นเรียนรู้ภาษาในประเทศใหม่อาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่น้องๆจะประหลาดใจเมื่อน้องๆสามารถใช้ภาษานั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้การเข้าใจและใช้ภาษาท้องถิ่นได้ก็จะทำให้กิจกรรมประจำวันง่ายขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของในร้านค้าร้านอาหาร ไปจนถึงการสอบถามเส้นทาง

ข้อดีอีกข้อของการเพิ่มประสบการณ์ด้วยการเรียนรู้ภาษาอื่น ๆ ก็คือน้องๆสามารถระบุความสามารถพิเศษนี้ลงในประวัติส่วนตัวของน้องๆเพื่อเปิดโอกาสในการทำงานในอนาคตของน้องๆอีกด้วย

สิ่งที่น้องๆไม่ควรพลาดเมื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ

หาเวลาเดินทาง

เผื่อเวลาบางส่วนไว้เพื่อสํารวจสภาพแวดล้อมใหม่ในเมืองที่เรียนอยู่ด้วย ในต่างประเทศมีอะไรให้ทํามากมายนอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียน ดังนั้นใช้โอกาสวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดยาวเพื่อสัมผัสประสบการณ์เการเดินทางและเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่างๆให้คุ้มค่าที่สุดกันเถอะ

สิ่งที่น้องๆไม่ควรพลาดเมื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ

บันทึกประสบการณ์ของคุณ

ช่วงเวลาที่น้องๆอยู่ต่างประเทศดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนตื่นจากฝัน การถ่ายภาพ จดบันทึกประจำวันและโพสต์ช่วงเวลาประทับใจในโซเชียลมีเดียก็เป็นวิธีการที่ช่วยให้น้องๆได้เก็บบันทึกทุกช่วงเวลาแห่งการผจญภัยในต่างประเทศก่อนถึงเวลาเดินทางกลับ น้องๆจะประทับใจกับความทรงจำและบันทึกเหล่านี้ในอีกหลายปีข้างหน้า

สิ่งที่น้องๆไม่ควรพลาดเมื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ

ความสมดุลของการศึกษาและชีวิตทางสังคมของคุณ

การเรียนต่อต่างประเทศไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของวิชาการ แน่นอนว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกคือการได้รับวุฒิการศึกษาที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่การเรียนต่อต่างประเทศเป็นโอกาสที่ทรงคุณค่าสำหรับการใช้ชีวิตอย่างอิสระและมีความสนุกสนาน

แน่นอนว่าน้องๆไม่ควรละเลยบทเรียนหรือโดดเรียน แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้การเรียนใช้เวลาทั้งหมดของน้องๆในต่างประเทศไปอย่างน่าเสียดาย แบ่งเวลาออกไปท่องเที่ยวกับเพื่อนใหม่และสร้างความประสบการณ์ที่น่าจดจำ ทั้งหมดนี้เพื่อให้บรรลุความสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการศึกษาและการร่วมสังคม

สิ่งที่น้องๆไม่ควรพลาดเมื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ

ออกจากคอมฟอร์ทโซนบ้าง

การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ทั้งหมดอาจทำให้น้องๆรู้สึกหนักใจอยู่บ้าง จนน้องๆอาจจะรู้สึกอยากจะเก็บตัวอยู่ในห้องนั่งดู Netflix ไปเรื่อยๆ แต่ประสบการณ์เรียนต่อต่างประเทศของน้องๆจะสมบูรณ์มากขึ้นหากน้องๆเลือกจะก้าวออกมาจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเองบ้าง

ลองใจกล้าทำความรู้จักเพื่อนร่วมห้อง ลงทะเบียนเข้าร่วมชมรมที่น่าสนใจในโรงเรียนหรือเขตชุมชนใกล้บ้าน วางแผนจัดการเดินทางหรือเข้าร่วมทัวร์ท้องถิ่น เมื่อเรียนจบน้องๆจะได้มีช่วงเวลาสนุกๆและประสบการณ์ดีๆกับเพื่อนใหม่ไว้ในความทรงจำ นอกจากนี้น้องๆอาจจะค้นพบความสามารถพิเศษบางอย่างจากการได้ลองลงมือทำเรื่องที่นอกเหนือจากความเคยชินก็เป็นได้

สิ่งที่น้องๆไม่ควรพลาดเมื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ

Keep in Touch

การบอกลาเพื่อนๆและการกลับบ้านอาจเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ติดต่อกันอีกเลย โดยเฉพาะในยุคที่วิดีโอคอลและโปรแกรมสนทนาต่างๆสามารถช่วยเชื่อมช่องว่างทางกายภาพจนกว่าจะได้พบหน้ากันครั้งต่อไปได้ น้องๆจึงควรแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกับเพื่อนๆที่สนิทสนมกันก่อนจะแยกย้ายกลับบ้านกันด้วย

การติดต่อกับเพื่อน ๆ จากนานาชาติสามารถช่วยเปิดโอกาสในการทำงานที่น่าตื่นเต้นได้เช่นกัน คอนเนคชั่นที่น้องๆได้จากการเรียนต่อต่างประเทศอาจจะมีประโยชน์อย่างมากต่อการค้นหางานในฝันในอนาคต

สิ่งที่น้องๆไม่ควรพลาดเมื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ

Ref: https://studee.com/

ดูข้อมูลประเทศต่างๆที่น่าสนใจไปเรียนต่อต่างประเทศ >>คลิก<<

ตามหา ” Martin Luptak ” เพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนแรกที่อเมริกาที่หายไป 20 กว่าปี

นักเรียนแลกเปลี่ยน อมเริกา

ชีวิตทุกคนจะมีจุดเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง แล้วจุดเปลี่ยนแต่ละครั้งก็จะกลายเป็นเรื่องราวของคนๆนั้นที่สามารถนำมาเล่าหรือเรียกว่าโม้ได้ทั้งชีวิต จะผ่านไปกี่ปีก็ไม่เคยลืม หนึ่งในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตพี่ก็คือ การได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกามาเมื่อไม่นานมานี้ แค่ 20 กว่าปีที่แล้วเอง ไปครั้งเดียวมีจุดเปลี่ยนมากมาย ซึ่งหลายอย่างเรายังไม่รู้ตัวเองเลย และการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนครั้งนั้นก็เปลี่ยนชีวิตพี่มาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งอุปนิสัย แนวคิดหลายๆอย่าง ความเข้าใจโลกที่มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดสุดคือน้ำหนักตัวที่เพิ่มมาเกือบสิบกิโล เรื่องความเปลี่ยนแปลงจากปีแลกเปลี่ยนนี้ พ่อแม่เพื่อนคอนเฟิร์มโดยที่พี่แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงนี้กับตัวเอง

วันนี้พี่เลยมาแชร์เรื่องราวจุดเปลี่ยนแรกของการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของพี่ ซึ่งคือการมีเพื่อนร่วมห้อง มันเริ่มมาจากบทสนทนาในครอบครัวเมื่อรู้ว่าต้องแชร์ห้องกับเด็กแลกเปลี่ยนอีกคน

แม่ : “ทางโครงการฯ บอกจะมีรูมเมทคนนึงนะชื่อ มาร์ติน ลุปถัก เป็นคนมาจากประเทศสโลวาเกีย ระวังตัวด้วยนะ ไปอยู่ ไปแชร์ห้องกับใครก็ไม่รู้ ข้าวของ ทรัพย์สินและ…..โน่นนี่นั่น”
พี่ต้น : “รู้แล้วม๊า พอแล้วๆ เดี๋ยวไปเจอก็รู้เอง”
พ่อ : “ระวังตัวด้วยนะ ต้องหัดฉลาด รู้ทันคน อย่าไปโดนเค้าหลอก ของอะไรก็เก็บให้มันดีๆ …..อย่างนั้นอย่างนี้”
พี่ต้น : “คับ คับ คับ ไปแล้วนะ เจอกันอีก 10 เดือน ถ้าอยู่ได้และไม่โดนส่งกลับก่อนนะ”

นักเรียนแลกเปลี่ยน อมเริกา

นั่นเลยเป็นที่มาของตอนนี้ที่พี่ขอตั้งชื่อว่า ‘Finding Martin Luptak’ คนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทอยู่ 10 เดือน แล้วตอนนี้คือขาดการติดต่อกันไปแล้วกว่า 20 ปี (สมัยนั้นsocialมันยังไม่ทั่วถึงอ่ะเนอะ) อยากลองใช้พลังSocialตามหาดูครับเผื่อจะได้เปลี่ยนมันกลับมาเป็นเพื่อนสนิทอีกครั้ง อยากจะอัพเดทชีวิตกันและถ้าเป็นไปได้ต้องหาโอกาสเจอกันให้ได้สักครั้ง เรื่องราวการแชร์บ้านกับเพื่อนคนนี้เท่าที่พี่จำได้ก็ประมาณนี้ครับ

1. กิจกรรมหลักแต่ละวัน :

เมื่อประมาณวันที่ 5 กันยายน ปี 2000 พี่ไปถึงอเมริกาก่อนเจ้า Martin 1 วัน เช้าวันนั้นโฮสต์มัมก็เลยชวนไปรับ Martin ที่สนามบินเล็กๆในเมืองโมเดสโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ภาพจำของมันครั้งแรกคือเก็กมาเลย ตอนเช็คแฮนด์กันมันก็ขำใส่ ไม่รู้เมาไรมาป่าว พูดไม่หยุด พูดไปเรื่อย ถามทุกอย่างตลอดทางกลับบ้าน พอถึงบ้านสิ่งแรกที่มันทำคือนอนบนโซฟาแล้วก็นอนดูทีวี ขอบอกว่าเพื่อนพี่เป็นคนค่อนไปทางขี้เกียจ นอนก่อนแล้วค่อยทำสิ่งที่ต้องทำ พี่ก็ทำอะไรของพี่ไป พอมันกดวนช่องทีวีจนไม่มีอะไรดูแล้ว มันก็ถามพี่ว่าพี่เล่นกีฬาอะไรบ้าง พี่ก็บอกพี่ชอบเล่นบาส มันก็ดีใจเพราะมันก็ชอบเหมือนกัน เลยตกลงเย็นวันนั้นไปซื้อลูกบาสกัน ไปเล่นแถวบ้าน เล่นกันทุกวัน พวกพี่ต้องนั่งรถโรงเรียนกลับบ้าน ซึ่งมันมีตารางเวลาเป๊ะๆอยู่ ถ้ากลับไม่ทันรถต้องกวนโฮสต์มารับที่โรงเรียน พวกเราก็เกรงใจ กลับตามเวลาละกัน กลับมาถึงบ้านส่วนใหญ่ก็จะประมาณ 4 โมงเย็น เสาร์-อาทิตย์ไม่มีอะไรทำ ก็ต้องเล่นกันสองคนเพราะไม่มีใครแถวนั้นที่จะมาเล่นด้วย ซึ่งส่วนใหญ่มันก็จะแพ้พี่แล้วก็บ่นทุกวันว่าพี่โกง Sorry man!

2. อาหารหลัก :

ใครที่เคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจะพอรู้กันเรี่องอาหารการกินที่บ้านโฮสต์ ไม่ใช่ว่ากินไม่ได้นะ มันเป็นการกินเพื่ออยู่ครับ มันขาดอรรถรส คิดถึงกับข้าวที่บ้านมากตอนนั้น ผมกับมันก็เลยต้องออกไปหาอะไรกินเพิ่มนอกบ้านแทบทุกวัน เดินไป-กลับก็หลายกิโล ใช้วิธีกินที่บ้านก่อนพอเป็นพิธี กลัวโฮสต์ด่าแล้วดึกๆก็ค่อยออกมาหาอะไรกิน บอกโฮสต์ว่าไปเดินเล่น ไอ้เพื่อนคนนี้นี่มันชอบพิซซ่ามาก พวกเรามีร้านประจำเป็นร้านเล็กๆที่คนในพื้นที่เค้ากินกัน พวกเราก็กินกันแทบทุกวัน กินคนละชิ้น พิซซ่าอเมริกานี่มันก็ชิ้นใหญ่มาก ก็เลยนั่งแทะนั่งเมาท์เรื่อยเปื่อยกันไปด้วย เรียกได้ว่าภาษาอังกฤษดีขึ้นก็ตอนนี้แหละ ต่างคนต่างพูดไม่เป็นประโยคแต่ยังไงไม่รู้คุยกันรู้เรื่องซะงั้น ไปสุดขนาดเถียงกันเป็นภาษาอังกฤษได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งเถียงกันเรื่องอ่านออกเสียง ‘Yatch’ เราก็ยอชต์ มันก็ย้าท เถียงไปด่ากันไปแบบขำๆกันนะ ประมาณว่าใครโง่ภาษาอังกฤษกว่า (…สรุปว่าเรา) บางครั้งเถียงกันเรื่องไรไม่รู้ พี่โมโหด่ามันเป็นภาษาไทย มันก็ด่าเราเป็นภาษาสโลวัก ตลอด 6 – 7 เดือนที่อยู่ด้วยกัน พี่ได้เรียนภาษาสโลวัก มันก็ได้ภาษาไทยด้วย (ส่วนใหญ่ก็เป็นคำสบถแหละตามประสาวัยรุ่น) บางอารมณ์อยากสบถขึ้นมาก็ใช้โค้ดลับเป็นภาษาพวกเรานี่แหละ

3. งานบ้าน :

นักเรียนแลกเปลี่ยนควรต้องช่วยทำงานบ้านด้วย โดยส่วนใหญ่จะแบ่งเวรแบ่งหน้าที่กันทำกับคนทั้งบ้าน บางอาทิตย์เราเป็นคนล้างจาน บางอาทิตย์ทำห้องน้ำ บางอาทิตย์กวาดเก็บใบไม้หน้าบ้านหลังบ้าน ห้องนอนที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวสำคัญมากคือทุกคนต้องเก็บห้องของตัวเอง เราเผอิญโชคดีได้โฮสต์ดีที่ขี้บ่นมาก บ่นประจำเรื่องห้องนอนกับตื่นสายวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันทำความสะอาดบ้าน ตลอด 16 ปีที่เกิดมา พี่ก็ไม่เคยทำงานบ้าน มันบอกมันก็ไม่เคยทำ ประเสริฐกันทั้งคู่ 555 เลยทำให้เราได้เรียนรู้ตรงนี้ และเอาจริงๆมันก็ติดมาเป็นนิสัยเล็กๆจนทุกวันนี้นะ มีความเป็นระเบียบขึ้นนิดนึง มาครบทั้งงานหมก งานแอบ งานลวก อีกบทเรียนที่ได้คือเราเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือกันยามคับขัน เราเลยทำข้อตกลงว่าจะผลัดกันทำงานบ้านคนละอาทิตย์ เพื่อที่คนนึงจะได้นอนดูทีวีได้ตลอดทั้งอาทิตย์ เรียกว่าฝึกทักษะการเจรจาต่อรองกันจากประสบการณ์นี้

4. เรื่องไม่เป็นเรื่อง :

‘อือ อิ๊ด อือ แอดดดด…’ รุ่นนี้คงไม่ทัน นี่คือเสียงต่อเน็ตที่ดังทั้งบ้านเวลาใช้งานแต่ละครั้ง สมัยนั้นจะใช้เน็ตครั้งนึงต้องสลับสายโทรศัพท์บ้านมาเสียบโมเด็ม…. อ่ะ งง รุ่นนี้งง มันคือสิ่งมหัศจรรย์ของเด็กยุค 90s อย่างพวกพี่เลยนะ ฮ่าๆ แล้วที่บ้านโฮสต์ก็ดันมีสายโทรศัพท์อยู่สายเดียว ถ้าต่อเน็ตโทรศัพท์ก็จะใช้ไม่ได้ เรา (หมายถึงพี่กับMartin) ก็เลยตกลงกันว่าจะใช้เน็ตตอนดึกเพราะเราคิดว่าทุกคนเข้านอนกันแล้ว หลังจากเขียนจดหมายโต้ตอบกับที่บ้านมาได้ 2-3 เดือน พี่ก็แนะนำมันให้รู้จักกับอีเมล์ Martinตื่นเต้นมากกกก ถึงขนาดต้องโทรไปหาพี่สาวที่บ้านเรื่องจะไม่ส่งจดหมายแล้ว ดูวุ่นวายกันใหญ่เลย สรุปคืนนั้นมันได้เริ่มเขียนอีเมล์ฉบับแรกในชีวิต นั่งจิ้มคีย์บอร์ดอยู่ทั้งคืน รวมๆน่าจะเกือบสองชั่วโมงได้กว่าจะเขียนอีเมล์ฉบับนึงเสร็จ แล้วมันก็นั่งชื่นชมอยู่แป๊ปนึง มันคงกะว่าเดี๋ยวค่อยกดส่ง พอได้ฤกษ์กดส่ง มันก็นั่งรอดูผลงาน ทันใดนั้น เราก็ได้ยินโฮสต์มัมคุยโทรศัพท์อยู่นอกห้อง คงสำคัญมากมั้งคุยตอนเกือบตี 2 โฮสต์มัมคงเห็นไฟห้องเปิดอยู่ ก็เลยเปิดเข้ามาดูว่าทำไรกัน เราก็นั่งอึ้งกันอยู่ เพราะความพยายามกว่าสองชั่วโมงของMartinหายวับไปกับสายโทรศัพท์ที่่ถูกดึงออก โฮสต์แกก็บ่นพวกเราว่าไม่หลับไม่นอนแล้วก็ให้พวกเราปิดคอมด้วย วินาทีนั้น พี่Martinก็ของขึ้นเลยครับ ทะเลาะกันเลย ด่าภาษาอังกฤษสลับสโลวัก สงครามนี้ดูไม่รู้จะจบกันยังไง โฮสต์มัมไม่รู้ตัวว่าได้ทำร้ายเด็กหนุ่มคนนี้แบบไม่ได้ตั้งใจ โฮสต์มัมเองก็โมโห สุดท้ายเลยไม่ให้พวกเราใช้เน็ตอีก หนักเลยงานนี้ นอนบ่นเป็นภาษาสโลวักทั้งคืน หลังเลิกเรียนวันต่อมา ก็เลยต้องอยู่ใช้คอมที่โรงเรียนแล้วยอมตกรถโรงเรียน แถมไม่ทันรถเมล์รอบสุดท้ายเพราะต้องรอมันเขียนอีเมลล์คราวนี้อีกเกือบ 3 ชั่วโมง มันคงเอาเรื่องเมื่อคืนใส่ไปด้วยแน่ๆ จบด้วยการเรียกแท็กซี่กลับบ้านหลังส่งอีเมล์เสร็จ เรียกว่าเป็นความยากลำบากที่คนยุค 5G อาจจะนึกไม่ถึงจริงๆ

5. วันสุดท้าย :

วันที่พี่จะต้องกลับประเทศไทย ไฟลท์พี่ออกตั้งแต่เช้า ในเมืองของพี่เนี่ยไฟลท์บินแต่ละวันคือน้อยมากเพราะไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ วันนั้นโฮสต์มัมดันตื่นสาย ไอ้เราก็นั่งรอ เกรงใจไม่กล้าไปปลุก รอจนลืม รู้สึกตัวอีกทีคือสายแล้วก็เลยจำเป็นไปปลุกโฮสต์มัม เจ๊แกก็เข้าห้องน้ำ ทำโน่นนี่นั่น กว่าจะได้ออกจากบ้านสุดท้าย…ตกเครื่อง วุ่นวายเลยทีนี้เพราะต้องไปต่อเครื่องที่แอลเอ ไฟลท์ที่มีจากเมืองนี้ก็ไม่ทันต่อเครื่อง โฮสต์มัมก็ติดงานด่วนเช้านั้น แกเลยเอาเราไปดร็อปไว้บ้านใหม่มาร์ติน(พี่เค้าโดนย้ายแต่ยังอยู่เมืองและโรงเรียนเดียวกัน ไว้หาโอกาสมาเล่ารอบหน้าเพราะนี่คือจุดเปลี่ยนอีกครั้ง)แล้ววานให้โฮสต์บ้านนั้นไปส่งเราอีกเมืองนึง เพื่อไปขึ้นเครื่องที่นั่นไปแอลเอ ไอ้มาร์ตินก็เลยไปส่งเราด้วย นั่งกันไปเกือบสองชั่วโมง สนุกมาก นั่งบ่นกันทั้งรถตลอดทาง ถึงสนามบินก็ไม่มีเวลาพิรี้พิไร จอดดร็อปหน้าประตูเพราะจะไม่ทันแล้ว และนั่นคือวันสุดท้ายที่ได้เจอมันในคราบชุดนอน หัวฟู ฟันไม่แปรง

6. มิตรภาพ :

มาร์ตินเป็นเพื่อนที่เรียกได้ว่าสนิทมากๆในช่วงที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน สนิทกันแบบไม่ต้องใช้เวลา สนิทกันแบบอัตโนมัติตั้งแต่วันแรก (เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องอยู่ร่วมบ้านกัน จะเขม่นกันตั้งแต่แรกก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง) หลังจากแยกย้าย พี่พยายามตามหามันเท่าที่ทำได้แล้ว แต่สมัยก่อนมือถือไม่มี ช่องทางโซเชียลต่างๆก็ไม่มี อีเมลล์ที่เคยใช้ก็น่าจะเลิกใช้กันไปแล้ว การติดต่อทุกอย่างใช้การจดลงสมุด ซึ่งก็หายสาบสูญไปแล้ว พี่ลองติดต่อใช้วิธีไปทางบ้านโฮสต์ที่เคยอยู่ด้วยกันก็ดูเหมือนจะย้ายบ้านไปไหนแล้วไม่รู้ ลองหาในโลกโซเชียลก็ยังไม่เจอ พอโดนทีมงานบังคับเขียนเล่าเรื่องราวปีแลกเปลี่ยนอาทิตย์นี้เลยขอลองวิธีนี้แล้วกัน เผื่อโชคดีหาเพื่อนคนนี้เจออีกครั้ง

มาครับ ลูกหลานใครอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ ยินดีให้คำแนะนำครับ

นักเรียนแลกเปลี่ยน อมเริกา

Please help me with ‘Finding Martin Luptak’ from Slovakia. In 2000, he was an exchange student in Modesto, California, USA and he should be about 40 years old now. As far as I know, he really loves his older sister. I think her name is Maria and they are not originally from Bratislava. He likes to play basketball and he loves beer very much. I wish I could catch up with him once again soon….

อยากไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา >> คลิก<<