7 เหตุผลที่ควรเลือกไปเรียนภาษาอังกฤษที่ยุโรป

เรียนภาษา ยุโรป

อียู หรือ ยุโรป เป็นอีกสถานที่ที่น่าอยู่ และในแต่ละปีมีนักเรียนหลายล้านคนที่เลือกไปเรียนภาษาอังกฤษในประเทศแถบยุโรปนี้ นอกจากจะเป็นการพัฒนาทักษะภาษาแล้ว ยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างอีกด้วย วันนี้พี่โทนี่ มี 7 เหตุผลดีๆ มาช่วยให้น้อง ๆ ตัดสินใจง่ายขึ้น ในการเลือกไปเรียนภาษาอังกฤษในประเทศอียู

เรียนภาษาที่ 3

1) เพิ่มโอกาสด้านหน้าที่การงานในอนาคต

การที่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศในยุโรป ถือเป็นการปูทางทางด้านอาชีพการงานในอนาคต เราสามารถที่จะอยู่ต่อได้หลังจากเรียนจบ หลาย ๆ ประเทศในยุโรปพยายามโน้มน้าวให้นักเรียนต่างชาติยู่ต่อหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ซึ่งทางรัฐบาลก็สนับสนุนให้นักเรียนต่างชาติอยู่ทำงานต่อและหางานที่มั่นคงให้หลังจากเรียนจบ การที่เราได้รัฐบาลสนับสนุน ทำให้เราสามารถหางานทำในประเทศอียูได้ย่างถูกกฎหมาย ซึ่งสิ่งนี้จึงเป็นการช่วยเราในการหางานที่ดีในอนาคตได้

2) มีมาตรฐานการศึกษาระดับโลก

ระบบการศึกษาในประเทศอียู เป็นที่ยอมรับในมาตรฐานสากลในระดับโลก มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดหลายแห่งก็ตั้งอยู่ในยุโรป เมื่อจบการศึกษาจากที่นี่นอกจากจะได้รับการยอมรับแล้ว คนที่จบจากมหาวิทยาลัยในยุโรปก็ยังเป็นที่ต้องการขององค์กรหรือบริษัทใหญ่ๆ อีกด้วย

3) มีทางเลือกสาขาในการเรียนที่หลากหลาย

เป็นที่รู้กันดีว่ามีมหาวิทยาลัยมากมายอยู่ในยุโรป ซึ่งมีหลักสูตรให้เลือกมากมาย มีให้เลือกทุกระดับ ทุกสาขา ทุกแขนง ที่อยากเรียน มีตั้งแต่มหาวิทยาลัยขนาดเล็กไปถึงมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งเพียบพร้อมและเพียงพอสำหรับทุกคน น้อง ๆ สามารถเลือกเรียนในหลักสูตรที่ต้องการได้

4) ค่าใช้จ่ายในการเรียนไม่แพง

ค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยรัฐส่วนใหญ่ในยุโรป ถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา หรือ ออสเตรเลีย และในบางประเทศในยุโรปไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยซ้ำ เรียนฟรี และยังมีโอกาสที่จะได้รับทุนการศึกษาอีกด้วย และยังมีทางเลือกอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยสนับสนุนค่าเล่าเรียนในระว่างที่เราศึกษาอยู่ที่นั่น

5) ง่ายต่อการเดินทางทั่วยุโรป

เวลาที่เรียนที่ยุโรป การเดินทางไปทั่วยุโรปนั้นง่ายมาก เพราะวีซ่านักเรียน ทำให้น้อง ๆ สามารถเดินทางไปยัง 26 รัฐของยุโรปได้ การคมนาคมระหว่างประเทศก็ง่ายและใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน ตั๋วเที่ยวบินก็ราคาไม่แพง รถไฟและรถบัสก็มีให้บริการอย่างครบครัน เมื่อได้ไปเรียนที่ยุโรปแล้วควรใช้โอกาสนี้ออกเดินทางไปดูประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป ให้เป็นประสบการณ์และกำไรของชีวิต

6) ระบบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยสอดคล้องกัน

ระบบการศึกษาในมหาวิยาลัยต่างๆในยุโรปสอดคล้องกันหมด ถ้าจบการศึกษาที่ประเทศสวีเดน ก็สามารถไปทำงานได้ที่เยอรมัน หรือสหราชอาณาจักรได้ เพราะวุฒิการศึกษาของทุกประเทศในยุโรปมีความเท่าเทียมกันหมด สามารถเอาวุฒิที่ได้ไปสมัครงานหรือเรียนต่อในประเทศอื่นๆ ได้

7) ภาษาในการเรียนเป็นภาษาอังกฤษ

ไม่ต้องกังวลว่าจะใช้ชีวิตประจำวันลำบาก เพราะสามารถใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้ ระบบการเรียนก็สามารถเลือกเรียนเป็นภาษาอังกฤษได้ ซึ่งการไปเรียนที่ยุโรป นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ยังได้ฝึกภาษาที่สาม ที่เป็นภาษาท้องถิ่นเพิ่มอีกด้วย ตามรัฐ หรือประเทศที่ไปอยู่

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหากน้อง ๆ คนไหนสนใจไปเรียนภาษาอังกฤษที่ยุโรปก็ทักพี่โทนี่มาได้เลยทั้งทาง Facebook, Line หรือฟอร์มติดต่อเราที่หน้าเว็บไซต์

Ref : https://www.study.eu

ค้นหาตัวตนด้วยการ Take Gap Year | ทำยังไงให้ Gap year มีประโยชน์มากที่สุด

ค้นหาตัวตนด้วยการ Take Gap Year

ค้นหาตัวตนด้วยการ Take Gap Year หลายคนสงสัยว่า Gap Year คืออะไร Gap Year ก็คือช่วงเวลาที่หยุดพักประมาณ 1 ปี ซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมจะพักช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย หรือหลังจบมหาวิทยาลัย Gap Year มีประโยชน์มากสำหรับคนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนนัก หรือคนที่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรแต่รู้สึกว่ายังไม่มีความพร้อม บางคนเลือกที่จะหยุดไปทำงานเพื่อเก็บเงินเรียนต่อ บางคนเลือกไป Work and Travel ก่อนทำงาน หรือบางคนเลือกจะไปเรียนภาษาต่างประเทศก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งพี่ Tony ก็มีโอกาสได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอเมริกามา 1 ปี โดยส่วนตัวคิดว่ามีประโยชน์และคุ้มค่ามาก ทำให้เรามีความพร้อมมากขึ้นสำหรับการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย

ทำยังไงให้ Gap Year มีประโยชน์มากที่สุด

  • คิดว่าอยากได้อะไรจาก Gap Year

ในระหว่างช่วง Gap Year คุณสามารถไปฝึกงาน, Work and Travel, ท่องเที่ยว, ทำงานอาสาสมัคร หรือไปเรียนภาษาต่างประเทศ นอกจากคุณจะได้พัฒนาภาษาแล้ว คุณจะได้ใช้ชีวิตในต่างแดน เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย ปรับทัศนคติ และได้มุมมองอะไรใหม่ๆ อีกด้วย

  • ทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน

ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น เรียนภาษาต่างๆ เรียนทำอาหาร เรียนถ่ายภาพ หรือเรียนสิ่งที่จะช่วยให้คุณโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ เมื่อคุณสมัครเข้าทำงาน หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้ามีโอกาสได้ทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ อย่าปฏิเสธ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบก็ตาม เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจจะมีประโยชน์ต่อคุณในอนาคตได้ แต่ถึงแม้ว่าคุณจะเลือกไปท่องเที่ยว ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ เพราะการท่องเที่ยวจะช่วยให้คุณได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ เรียนรู้ภาษาใหม่ๆ การต่อรอง และทักษะชีวิตต่างๆ

  • วางแผนให้ดี

ในระหว่าง Gap Year คุณสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง เดินทางไปได้หลายประเทศ ฉะนั้นคุณควรที่จะคิดให้ดีว่าจะทำอะไร ไปที่ไหน เพราะคุณอาจจะมีข้อจำกัดหลายๆ อย่าง เพื่อที่จะได้ประสบการณ์ที่ดี มีคุณภาพ มีประโยชน์ คุณควรที่จะวางแผนก่อน แน่นอนว่า ถ้าคุณต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศ พี่ Tony สามารถให้คำแนะนำและแชร์ประสบการณ์ให้ได้แน่นอน

  • เขียนประสบการณ์ที่ได้รับจาก Gap Year ใน CV

ถ้าคุณไปฝึกงาน, Work and Travel, ทำงานอาสาสมัครต่างๆ, หรือเรียนต่อต่างประเทศ คุณสามารถเขียนลงใน CV ได้ โดยเขียนชื่อบริษัท หรือองค์กร ระยะเวลา หน้าที่ ความรับผิดชอบ และสิ่งที่ได้รับ เพราะประสบการณ์แบบนี้ไม่สามารถหาได้ง่ายๆ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาส ถ้าคุณไปท่องเที่ยวหรือเรียนต่อต่างประเทศ คุณก็สามารถเขียนลงใน CV ได้ เพราะประสบการณ์ต่างๆ ที่คุณทำระหว่าง Gap Year สามารถแสดงความเป็นตัวคุณได้ และคุณสามารถใส่ทักษะที่คุณได้รับจากการไปเรียนลงไปใน CV ได้เช่นกัน

  • กล้าที่จะตัดสินใจทำและออกจาก Comfort Zone

สิ่งที่ยากที่สุดของการไป Gap Year คือ การตัดสินใจทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นๆ หรือทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติ และก้าวออกจาก Comfort Zone ของคุณ ถ้าคุณมีความฝัน คุณต้องมั่นใจ และลงมือทำมัน

สักครั้งในชีวิต ลองค้นหาตัวตนด้วยการ Take Gap Year พี่ Tony ขอให้น้องๆ ที่ Take Gap Year สนุก และได้รับประสบการณ์ดีๆ นะครับ

Credit : https://campus.campus-star.com/

เรียนภาษาในต่างประเทศ ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ควรเรียนนานแค่ไหน? (Part 3)

ค่าใช้จ่าย เรียนภาษาในต่างประเทศ

มาถึง Part สุดท้ายของเรื่องที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศกันแล้วนะครับ สำหรับใครที่เพิ่งมาเปิดอ่าน สามารถคลิกอ่าน Part 1 และ Part 2 กันได้นะครับ

3. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ

“ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ” เป็นหนึ่งปัจจัยหลักในเรื่องของค่าใช้จ่ายรวม ยกตัวอย่างไประเทศอังกฤษ ส่วนใหญ่สายการบินที่บินตรงก็เช่น Thai Airways กับ British Airway ราคาก็สามหมื่นต้นๆ ถึงเกือบห้าหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ไปและช่วงที่เราจองตั๋ว ส่วนสายการบินแบบแวะพัก 1 จุด ที่ได้รับความนิยมมากๆ ก็พวกสายการบินกลุ่มประเทศอาหรับ อย่างเช่น Emirates Airline, Qatar Airways หรือ Etihad Airways พวกนี้ดีนะครับ ราคาก็ตั้งแต่ประมาณสองหมื่นปลายๆ ถึงไม่น่าเกินสามหมื่นปลายๆ ครับ แล้วก็จะมีแบบประหยัดจัดเลย อารมณ์บินไปอังกฤษรวมเกือบ 20 ชั่วโมง ในขณะที่ทั่วๆ ไปเค้าบินกันประมาณ 11-12 ชั่วโมง อันนี้ก็ตั้งแต่สองหมื่นต้นๆ ครับ อยู่ที่ใครอึดกว่า แต่ของเราโดยส่วนตัวถ้าบิน 10 ชั่วโมงขึ้นไป ชอบแบบมีแวะยืดเส้นยืดสายครับ แต่แวะจุดเดียวพอแล้ว แวะเต็มที่ไม่เกิน 2 ชั่วโมง

สรุปเรื่องค่าใช้จ่ายโดยรวม

กรณีไปเรียน 1 เดือน

เรื่องค่าใช้จ่ายโดยรวม เฉพาะในประเทศอย่าง อเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์ หลักสูตรเรียนภาษาต่างประเทศ 1 เดือน รวมเฉพาะสิ่งที่จำเป็นคือ ค่าเรียน, ค่าที่พัก, ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับชั้นประหยัด, ค่าวีซ่า, ค่าประกัน (จำเป็นมากนะครับ), ค่าสมัครทางโรงเรียนบวกบางที่เก็บค่าบริการจัดหาที่พักด้วย เฉลี่ยเป็นเงินบาทมีตั้งแต่หนึ่งแสนถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท เดือนถัดๆ ไปก็จะถูกลงเพราะค่าใช้จ่ายบางอย่าง fix ไปแล้ว

กรณีไปเรียนมากกว่า 2 เดือน

ถ้า 2 เดือนจะประมาณ หนึ่งแสนสามหมื่นบาท ถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท และ 3 เดือนจะประมาณ สองแสนบาทถึงสองแสนห้าหมื่นบาท และถ้ายาวกว่านี้อย่าง 6 เดือนก็จะมีตั้งแต่สี่แสนบาทขึ้นไป อันนี้ไม่นับโรงเรียนที่ไม่ได้มาตรฐานหรือพวกโรงเรียนห้องแถวนะครับ

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ

นอกจากค่าใช้จ่ายหลักๆ ที่ว่าไปแล้วก็จะมี ค่าบริการรถรับ-ส่งสนามบิน ที่ทุกโรงเรียนจะมีขายบริการนี้เป็น option เสริมอยู่แล้ว, เรื่องค่าเดินทางภายในประเทศ และค่าอาหารก็ควรเผื่อไว้อาทิตย์ละสามถึงห้าพันบาท ส่วนค่าช็อปปิ้งอันนี้ตัวใครตัวมัน เบ็ดเสร็จแบบสยายๆ นะครับ 1 เดือนรวมทุกอย่างแล้วก็ 130,000 – 150,000 บาท ถ้าสองเดือนก็ 150,000 – 180,000 บาทครับ

4. ทำงานเสริมได้มั้ย?

ถ้าประเทศอเมริกา คุณจะถือวีซ่าประเภท F-1 คือทำงานไม่ได้ ผิดกฎหมายครับ ในส่วนประเภท J-1 ของโครงการ Work&Travel, Work&Study แล้วก็ออแพร์ ไว้จะมาให้ข้อมูลครับ ของอังกฤษจะเป็นวีซ่าประเภทไปเรียนภาษา (เรียกอย่างนี้แล้วกัน) ผิดกฎหมายเหมือนกัน จะได้ก็คือต้องถือเป็นวีซ่านักเรียนเท่านั้นที่จะทำงานได้ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เช่นเดียวกับของแคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

ฝากไว้ให้คิด…

สุดท้ายของบทความนี้ก็ฝากไปคิดกันดูนะครับ การเรียนภาษาที่นั่น ไม่เหมือนเรียนที่โรงเรียนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ที่เค้าไม่ได้แยกระดับชั้น ที่นักเรียนเก่งกับไม่เก่งก็ปนๆ กันไป อาจารย์สอนก็เอาเนื้อหากลางๆ มาสอน ซึ่งอาจจะง่ายไปสำหรับคนเก่ง ยากไปสำหรับคนไม่เก่ง แต่ที่สำหรับสถาบันสอนภาษาที่ได้มาตรฐานนั้นไม่ใช่ครับ เค้าจะแบ่งระดับ เพราะจะได้จัดอาจารย์และเนื้อหาที่เหมาะสมกับนักเรียนทั้งห้อง และการเรียนการสอนก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

อีกหนึ่งอย่างที่สำคัญที่อยากให้น้องทุกคนที่ไปมีก็คือ ความกล้า ที่จะพูดแบบผิดๆ โดยไม่อาย เราคนไทยเติบโตมากับระบบปรนัย มีคำตอบที่ถูกเพียงข้อเดียว ทำให้เรากลัวที่จะพูดเพราะมัวแต่เรียบเรียงอยู่ในหัว ประธาน กริยา กรรม กับเอ๊ะกริยาช่องไหนนะ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ควรเติม – ing มั้ย หรือโน่นเลยโดนเข้าไป past perfect continuous tense เชื่อเรานะครับ เราว่าคุณที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่ว่าจะระบบไทยหรืออินเตอร์ ฟังออกครับ ถ้าฟังออกไม่หมดทุกคำ เราก็เชื่อว่าเราเดาได้ครับ อารมณ์เจอฝรั่งพยายามพูดไทย เราก็พอเดาๆ ได้ครับ ถ้าไม่เชื่อ…

วันไหนเดินเจอฝรั่งนะ ลองพูดดูดิ “He is a girl” หรือ “I am eat lunch” ฝรั่งก็จะงงๆ หน่อยแต่เค้ารู้เรื่องครับ การเรียนภาษาของนักเรียนไทยนะครับอันดับแรก mind-set ว่าต้องกล้าพูดก่อน เมื่อพูดบ่อยๆ เราจะสังเกตตัวเองได้เองว่าเราบกพร่องตรงไหน พูดตรงไหนผิดและจะแก้ไขได้ในคราวต่อๆ ไปได้ครับ ความสนุกของการไปเรียนภาษาในต่างประเทศคือเมื่อคนสองคนสนทนากัน และต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกคนใช้คำผิด, พูดผิดหรือผิด grammar อะไรก็แล้วแต่……. แต่สองคนคุยกันรู้เรื่องครับ

เรียนภาษาในต่างประเทศ ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ควรเรียนนานแค่ไหน? (Part 2)

ที่พัก เรียนภาษาในต่างประเทศ

พี่ Tony แนะนำ ข้อแรกที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินไปเรียนต่างประเทศ เรื่องระยะเวลาที่ควรไปเรียนใน Part 1 ไปแล้ว วันนี้เรามาพูดถึงค่าใช้จ่ายกันบ้าง… โดยปัจจัยหลักๆ ที่มีผลกับค่าใช้จ่าย คือ “ที่พัก” ประเภทของที่พักที่ได้รับความนิยมมากสุดของโครงการเรียนภาษาในต่างประเทศช่วงปิดซัมเมอร์ ก็จะเป็นโฮสแฟมิลี่ (เรื่องนี้ต้องอีกหนึ่งบทความเต็มครับ รับประกันความมันส์ เป็นประเด็นที่ผู้ปกครองให้ความสำคัญอันดับต้นๆ เลย สำคัญกว่าสถาบันที่จะไปเรียนอีก) เราเคยถูกส่งไปทำงานที่อังกฤษ แผนก accommodation (ฝ่ายจัดหาที่พักให้นักเรียน) มาช่วงหนึ่ง เข้าใจและได้เห็นอะไรเยอะมากครับ เอาไว้จะมาแชร์นะครับ กลับมาเรื่องประเภทที่พักก็จะแบ่งได้ตามนี้ครับ

2. ประเภทของที่พัก

ส่วนใหญ่มักประกอบไปด้วยที่พักดังนี้คือ โฮสแฟมิลี่ โฮมแชร์ หอพักของโรงเรียน หอพักนักเรียน และหาหอพักเอง

1. โฮสแฟมิลี่

โฮสแฟมิลี่ของโครงการฯ นี้ เป็นโฮสแฟมิลี่แบบธุรกิจนะครับ คือได้เงินจากการรับเราไปดูแล ซึ่งจะแตกต่างกับโฮสแฟมิลี่ของโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนของนักเรียนมัธยมที่จะเป็นแบบอาสาสมัคร เราไม่ได้บอกว่าแบบไหนดีกว่านะครับ แต่ผู้ปกครองและนักเรียนควรเข้าใจก่อนไป ค่าใช้จ่ายถือว่าประหยัดมากๆ จะมีห้องเดี่ยว ห้องคู่ และรับอาหารเช้าและเย็นด้วยหรือไม่ ราคาก็ต่างกันไป อาจมีแบบใกล้ไกลโรงเรียนคนละราคา หรือ En-Suite แบบห้องน้ำในตัวก็อีกราคา

2. โฮมแชร์ (สำหรับอายุ 18 ปีขึ้นไปนะครับ อาจมีบางที่รับ 16 ปี)

อันนี้แบบเอาบ้านทั้งหลังมาแบ่งป็นห้องๆ แล้วให้นักเรียนมาเช่า ให้เลือกอยู่ห้องเดี่ยวหรือห้องคู่ได้ ราคาแตกต่างกันและส่วนใหญ่จะเป็น Self-Catering คือไม่รวมอาหาร มีไมโครเวฟให้ ค่าใช้จ่ายโดยทั่วๆ ไปก็จะแพงกว่าโฮสแฟมิลี่ไม่มาก

3. หอพักของโรงเรียน (สำหรับอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น)

ส่วนใหญ่สถาบันที่ใหญ่มาก จะมีที่พักเป็นของตัวเอง แบบห้องสี่คน สามคน ห้องคู่ ห้องเดี่ยว ราคาแตกต่างกันไป ไม่ค่อยมีแยกตึกชาย-หญิง ส่วนใหญ่จะแค่แยกชั้น แต่ทั้งตึกจะมีเฉพาะนักเรียนของสถาบันเค้าเอง มีทั้งแบบรวมอาหาร และ Self-Catering แพงกว่าสองแบบแรกแน่นอน แต่ข้อดีคือการเดินทางไป-กลับที่พักโดยส่วนใหญ่จะใกล้กว่าโฮสแฟมิลี่ครับ เพราะหอพักจะอยู่ในเมืองหรือบางแห่งอยู่ในโรงเรียน

ต้องอธิบายว่าประเทศที่เจริญแล้วแล้ว เค้าจะแบ่งพื้นที่ไว้ชัดเจนครับ ในตัวเมืองไม่ค่อยมีบ้านพักอาศัย ส่วนใหญ่จะเป็นที่ทำมาหากิน ร้านค้าร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ออฟฟิศสำนักงาน สถาบันการศึกษาทั้งหลาย ส่วนบ้านพักจะไปอยู่รอบนอกครับ ความใกล้ไกลจะขึ้นอยู่กับเมืองที่ไปครับ

4. หอพักนักเรียน (สำหรับอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น)

ก็คือสถาบันไม่ได้เป็นเจ้าของตึกแต่มีดีลกันไว้ บางแห่งก็ไปเช่าหมดชั้นไว้ แล้วมาปล่อยให้นักเรียนเช่ากันต่อ ราคาก็แล้วแต่เราเลือก ห้องรวม ห้องเดี่ยว ห้องน้ำในตัวด้วยมั้ย รวมอาหารมั้ย ในส่วนนี้บางโรงเรียนก็จะมีให้เลือกเป็นอพาร์ทเมนท์เช่า หรือไปจนช่วยจองโรงแรมเลยก็มี

5. แบบไม่เอาที่พักกับทางโรงเรียนก็คือ ไปหาหอพักนอกเอง (สำหรับอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น)

อันนี้ก็ได้รับความนิยมมาก อัดกันเข้าไปห้องนึงก็เคยได้ยินว่าเป็นสิบคนก็มี ประหยัดกันจัด อาจจะเป็นพวกคนไทยด้วยกันที่ไปทำงานหรือไปเรียนกันยาวๆ หรือไม่ก็ต้องรู้จักกันมานานถึงชวนกันมาแชร์ค่าห้อง อันนี้ไม่แนะนำสำหรับไปเรียนสั้นๆนะครับ เพราะนานๆ ไปที ไปแบบมีความสุขและประหยัดให้ถูกเรื่องดีกว่า

เดี๋ยว Part หน้า เราจะมาบอกข้อ 3 ที่ควรรู้ก่อนไปต่างประเทศ พร้อมค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ที่ต้องใช้ครับ

ที่มา : https://campus.campus-star.com/

เรียนภาษาในต่างประเทศ ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ควรเรียนนานแค่ไหน? (Part 1)

เรียนภาษาในต่างประเทศ ใช้เวลาเท่าไหร่

ก่อนที่คุณจะไปเลือกภาษาในต่างประเทศนั้น สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจมีอะไรบ้าง พี่ Tony จะมาแนะนำหัวข้อหลักๆ ที่ควรรู้และพิจารณา ดังนี้

1. ระยะเวลาที่ควรไปเรียน

คำถามยอดฮิตคือ ต้องเรียนนานแค่ไหนถึงจะได้ผล? อันนี้ตอบลำบากมาก เพราะว่าขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละคน และการตั้งเป้าในผลลัพธ์ที่ต้องการบวกกับความตั้งใจ (จริงๆ) ครับ

พื้นฐานของแต่ละคน..

ขอสมมุตินะครับ .. คุณเรียนจบมัธยมระดับกลางๆ ไม่ได้เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษด้วย เรียนปานกลาง วิชาภาษาอังกฤษได้เกรดกลางๆ เรียนต่อมหาวิทยาลัยรัฐบาลหลักสูตรภาษาไทยด้วย และว่างสองเดือนช่วงปิดเทอมอยากไปเรียนภาษาในต่างประเทศ เราว่าพื้นฐานของคุณไม่ด้อยกว่านักเรียนในห้องที่จะไปเจอที่นั่นเลย เพราะบ้านเราเรียนภาษาอังกฤษกันตั้งแต่อนุบาล ในขณะที่มีหลายประเทศที่เค้าจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษกันตอนมัธยม (พักเรื่องนี้ก่อน ไว้จะมาต่อครับ)

ผลลัพธ์..

ต่อมาเรื่องของผลลัพธ์ เราคิดว่าคุณตั้งเป้าประมาณว่า “สนทนากับชาวต่างชาติได้ตลอด 2 เดือนที่อยู่” เราว่าประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าคุณไม่ได้เป็นอัจฉริยะ ไอคิวแบบ 140 อัพ ไม่มีนะครับเรียนภาษาให้เก่งภายใน 2 เดือน แม้เราจะเห็นที่เรียนพิเศษบ้านเราโปรโมทประหนึ่งนักเรียนไทยทุกคนเป็นจีเนียส “เก่งภาษาอังกฤษภายใน 1 เดือน”, “การันตีสอบไอเอลท์ผ่านภายใน 2 อาทิตย์” เราต้องไม่ตกเป็นเหยื่อการตลาดนะครับ

ความตั้งใจ..

เรื่องสุดท้ายคือความตั้งใจครับ เพราะนอกจากสิ่งแวดล้อมโดยรวม ที่บังคับให้เราต้องได้ใช้ภาษาแล้ว ในสถาบันที่ได้มาตรฐานเค้าจะมีการสอบแยกระดับชั้นในวันแรกที่เราไปถึงอีกเพื่อแยกนักเรียนในแต่ละห้อง ตามความสามารถทางภาษา เช่น ถ้าคุณสอบออกมาแล้วอยู่ในระดับ Elementary หรือระดับเริ่มต้นนั้น ทั้งห้องเรียนก็จะมีแต่นักเรียนระดับเดียวกันอีกครับ เค้าให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมในการเรียนมาก ถ้าผู้เรียนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม โอกาสในการเรียนรู้ก็ยิ่งมีประสิทธิผล

ถ้า 3 ประเด็นนี้ชัดเจนแล้ว สำหรับระยะเวลาที่เหมาะสมน่ะเหรอครับ…. คำตอบง่ายๆ คือยิ่งนานยิ่งดี เพราะความถนัดทางภาษา คือเรื่องของการใช้งานจริงและการฝึกฝนบ่อยๆ เหมือนการว่ายน้ำ หรือขี่จักรยาน เมื่อเป็นแล้วจะไม่ลืม แต่ถ้าไม่ใช้นานๆ จะไม่คล่องแคล่ว และ fix-cost บางอย่าง เช่น ตั๋วเครื่องบิน คือเราจ่ายครั้งเดียวไปตามระยะเวลาที่อยู่ เพราะฉะนั้น อยู่ระยะสั้นหรือยาว เราก็จ่ายเท่าเดิม

ติดตามหัวข้อที่ 2 ที่ควรรู้ก่อนไปเรียนภาษาต่างประเทศ ใน Part 2

ที่มา : https://campus.campus-star.com/